19 พฤษภาคม 2558

       1.       กินบ่อยแต่แบ่งเป็นมื้อเล็กๆ   จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญตลอดทั้งวันและลดน้ำหนักได้มากขึ้น

2.       ห้ามอดมื้อเช้า  คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆ จะอ้วนง่ายกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ

3.       เพิ่มอาหารโปรตีนลดไขมัน  อาหารที่มีโปรตีนสูงจะทำให้การเผาผลาญทำงานได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต/ไขมันสูง  โดยที่มีแคลอรี่เท่าๆ กัน

4.       เครื่องเทศรสเผ็ด หรือ พริกในมื้ออาหาร  ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น  และสารแคปไซซินในพริก  จะช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย และยังช่วยสลายไขมัน ควบคุมอาการหิว

5.       ดื่มน้ำตลอดวัน  น้ำเป็นสิ่งสำคัญ  หากดื่มน้ำน้อยไประบบเผาผลาญจะลดลงเหมือนขาดอาหาร

6.       เลี่ยงน้ำตาลและของหวาน  ของหวานทำให้ระบบเผาผลาญเก็บสะสมไขมันมากกว่าการเผาผลาญไขมันออกไปใช้  และน้ำตาลยังเป็นพลังงานส่วนเกินที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย  ทั้งยังกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายเกิดอาการอักเสบอีกด้วย

 

 เลือกอย่างไรไม่ให้อ้วน 

แป้ง                   -          ข้าวกล้อง  ขนมปังโฮลวีท  เส้นหมี่ข้าวกล้อง ธัญพืชเต็มเมล็ด 
                                     ดีกว่า   ข้าวขาว  ขนมปังขาว

เนื้อสัตว์             -         เนื้อสัตว์ล้วน ไม่ติดหนังและมัน  ปลา กุ้ง ไข่  โดยวิธีการ ต้ม นึ่ง ลวก อบ
                                      ดีกว่า  เนื้อติดมัน เบคอน ขาหมู เครื่องในสัตว์ ไข่เจียว

ไขมัน                -           น้ำมันมะกอก  น้ำมันรำข้าว  น้ำมันเมล็ดทานตะวัน
                                      ดีกว่า  น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม เนย มาการีน

นมและผลิตภัณฑ์  -       นมพร่อง/ขาดมันเนย  โยเกิร์ตไขมันต่ำ
                                     ดีกว่า ไอศกรีม วิปปิ้งครีม นมเปรี้ยว นมปรุงแต่ง

ผัก                    -           ผักต้ม  ผักสด
                                    ดีกว่า  ผักผัด  ผักทอด

ผลไม้                -         ผลไม้ที่มีรสหวานน้อย  กากใยสูง เช่น แอปเปิ้ล  ฝรั่ง ชมพู่  แก้วมังกร  มะละกอ
                                    ดีกว่า  ขนุน มะม่วง  ลำไย เงาะ  ผลไม้กระป๋อง

ขนม/ของหวาน  -        หลีกเลี่ยง

เครื่องดื่ม           -        น้ำต้มสุก  เครื่องดื่มสมุนไพรปราศจากน้ำตาล  น้ำผลไม้ไม่ใส่น้ำเชื่อม
                                    ดีกว่า  น้ำอัดลม  น้ำหวาน  ชานมไข่มุก  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ประเภทอาหาร   -        แกงไม่ใส่กะทิ  ต้มยำ  นึ่ง ลวก อบ อาหารที่ผัดน้ำมันน้อย
                                    ดีกว่า  แกงกะทิ  หลน  อาหารทอด  อาหารผัดน้ำมันมาก
 
เครดิต :  จากสถาบันความงามแห่งหนึ่ง


วันก่อนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนๆ  ว่าหม่ามี๋เก็บเงินยังไงได้เป็นล้านกับตลอดชีวิตการเป็นลูกจ้าง  หม่ามี๋ก็เลยปิ๊งไอเดียว่าน่าจะเอามาแชร์ให้ฟัง เผื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ จะได้มีโอกาสถือเงินเป็นล้านบ้าง 

โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ขอบความเสี่ยงทุกรูปแบบ  หากลงทุนแล้วคิดว่ามีโอกาสสูญเงินจะไม่ทำ เพราะฉะนั้นเลยไม่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ (ซื้อหุ้น) เลย  หม่ามี๋เข้าใจว่าความจำเป็นแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเก็บออมของแต่ละคนก็จะได้ไม่เท่ากันด้วย  

วิธีง่ายๆ ในการคิดของตัวเองก็คือ ให้ลิสต์รายการค่าใช้จ่ายต่างๆ และแยกเป็นหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน เช่น

1.      ค่าอาหาร มื้อละ 25-50 บาท คูณ 3 มื้อ คูณ 30 วัน = 2250 – 4500 บาท

2.     ค่ารถ ถ้าเดินทางโดยรถเมล์ ประมาณ 50 บาท/วัน ถ้าเดินทางโดย BTS = 100 บาท/วัน เดือนหนึ่งค่ารถอยู่ที่ 1200 – 2400 บาท (คำนวณตามจำนวนวันที่ต้องทำงาน)

3.     ค่าแต่งตัว ค่าใช้จ่ายในบ้าน ของใช้ในบ้าน ของที่อยากได้ ของจำเป็นอื่นๆ ฯลฯ  ลองคิดดูว่าต่ำสุดต่อเดือนเราใช้เท่าไร และสูงสุดต่อเดือนเราใช้เท่าไร สมมุติว่า 1000 – 2000 บาท

4.     ค่าภาษีสังคมเช่น ค่าทำบุญ งานแต่ง งานศพ ฯลฯ กันไว้เลยเดือนละ 500 บาท (ยังไงก็ไม่ได้จ่ายทุกเดือนอยู่แล้ว)

5.     เงินฉุกเฉินยามจำเป็น  เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมบ้าน อื่นๆ แล้วแต่จะคิดได้ ที่ไม่ได้ใช้ทุกเดือนแต่กันเผื่อเหลือเผื่อขาดเท่านั้น  ซัก 500 บาทต่อเดือน พอมั๊ย

 

สรุปที่ต้องใช้แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่   

3750 – 6900 บาท (ที่ต้องจ่ายจริงจริง ตามข้อ 1+2)

           1000 – 2000 บาท (ต้องจ่ายจริงแต่ขยับได้ ตามข้อ 3)

1000 บาท (อาจได้ใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้ มันไม่มีมาทุกเดือนหรอก ตามข้อ 4+5)


สมมติว่าเราได้เงินเดือนละ 15000 บาท หักค่าใช้จ่ายข้างบนแล้วเราจะมีเงินเหลือ 5100 บาท เป็นอย่างน้อย ถอนเงินจำนวนนี้และโอนเข้าบัญชีเงินฝากประจำเมื่อเงินเดือนออกเลยค่ะ แล้วทำตัวประหนื่งว่าเราไม่มีเงินจำนวนนี้อยู่เลย (เรามีเงินใช้แค่ 9900 บาทเท่านั้นและให้ใช้ไม่เกินนี้) ปีหนึ่งเราจะมีเงินเก็บ 61,200 บาท ถ้า 10 ปี ก็มีเงินเก็บ  612,000 บาท เห็นมั๊ยค่ะเงินล้านลอยมาแค่เอื้อมแล้วค่ะ (ตลอด 10 ปี คงไม่ได้เงินเดือน 15000 ตลอดหรอกค่ะ และใช่ค่ะว่าค่าครองชีพต้องสูงตามด้วย แต่ด้วยประสบการณ์จากวิธีที่หม่ามี๋ทำโดยตลอด จำนวนเงินเก็บมันเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นค่ะ) 

ทีนี้มาดูค่าใช้จ่ายบ้าง 9900 บาท เก็บอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่เงินเดือนเข้าค่ะ ถ้าใจแข็งและมีวินัยในการใช้เงินพอ แต่ถ้าไม่, แนะนำให้เปิดบัญชีออมทรัพย์อีกซักหนึ่งบัญชีและโอนเงินข้อ 3+4+5 เข้าบัญชีนั้นเมื่อเงินเดือนออก และแนะนำว่าไม่ต้องทำ ATM ของบัญชีนี้นะคะ ทำเรื่องให้ยากซะ, จะได้ขี้เกียจไปถอนเงิน (นอกจากจำเป็นจริงๆ ก็ต้องไป ใช่มั๊ยเอ่ย)  = บัญชีนี้จะมีอยู่ 3000 บาท/เดือน

บัญชีที่มีเงินเดือนเข้าก็จะมีเงินเหลืออยู่แค่ 6900 บาท ถ้าใช้ประหยัดสุดๆ ก็อยู่ที่ 3750 บาท อู้ฟู่หน่อยก็ 6900 บาท ด้วยนิสัยความเคยชิน ถ้ามีเงินในกระเป๋ามากก็ใช้หมดเร็ว ดังนั้นหม่ามี๋จะกด ATM มาใช้อาทิตย์ละ 1000 บาท และบังคับตัวเองให้พอใช้ใน 1  อาทิตย์ (แบบว่า ถ้าแบงค์ร้อยในกระเป๋าไม่หลุดลอยไป จะไม่มีทางกด ATM ใหม่เลย) ถ้าช่วงไหนรู้สึกถูกกดดันมากเป็นพิเศษ อยากโน่นนี่นั่น ก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก 500 บาทก็ได้  -   พอมองเห็นภาพมั๊ยค่ะ ถ้ามีวินัยในการใช้เงินจริง เงินส่วนนี้ยังเหลือเก็บอีก และนำไปใช้จ่ายข้อ 3,4 โดยไม่ต้องไปรบกวนเงินในอีกบัญชีเลยค่ะ

ต่อมาเรามาดูเจ้าบัญชีออมทรัพย์ที่เปิดแยกต่างหากนะคะ ฝากเดือนละ 3000 บาท ปีหนึ่งจะมีเงิน 36000 บาท อาจจะมีการนำออกไปใช้บ้างแต่ก็ไม่บ่อยและไม่มาก หม่ามี๋เองบางปีแทบไม่ได้ใช้เลยค่ะ เงินส่วนนี้, พอปลายปีก็ถือซะว่าเป็นเงินก้อนที่เราจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากประจำได้ เงินฝากก็จะเพิ่มพูนอีก  แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ, คิดอย่างนี้มันง่ายไป  ตามหลักเศรษฐศาสตร์, เราควรกระจายความเสี่ยง  จะด้วยภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ชอบใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ หม่ามี๋เอาเงินตัวนี้ไปซื้อประกันแบบออมทรัพย์ค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง  บางคนว่าบริษัทที่ทำงานก็มีประกันให้อยู่ทำไมต้องทำซ้ำ ประกันสังคมก็มี  โดยความคิดส่วนตัว อะไรก็ไม่แน่นอนค่ะ ใช่ว่าเราจะอยู่ที่บริษัทนี้ตลอด บางที่ก็ไม่มีประกันให้นอกจากประกันสังคมซึ่งก็ไม่ครอบคลุมทุกโรค ถือซะว่าเป็นการซื้อความเสี่ยง หากเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนโต แถมยังนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย สิ้นสุดสัญญาก็ยังมีเงินก้อนคืนอีก 

มาถึงตรงนี้  บางคนอาจจะถามนะว่า ทำอย่างนี้มากไปมั๊ย ไม่มีช่องว่างให้หายใจหรือ พักผ่อนหย่อนใจเลย  คำตอบมีค่ะ เงินโบนัสปลายปีไงคะ ถือซะว่าเป็นรางวัลให้ตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อยากเที่ยว เที่ยว  อยากกิน กิน   อยากช็อป ช็อป ด้วยเงินส่วนนี้ค่ะ จะใช้ครั้งเดียวหมด หรือ เฉลี่ยใช้ตลอดทั้งปีก็แล้วแต่

ไม่รู้ว่าคนที่ทำงานหน่วยงานรัฐฯ ได้โบนัสปลายปีหรือเปล่า  แต่ก้อไม่เป็นไรค่ะ จากสวัสดิการที่ได้ คุณอาจจะโยกเอาเงินเผื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลมาเป็นรางวัลให้กับตัวเองก็ได้ค่ะ

สุดท้ายเงินเก็บที่อยู่บัญชีเงินฝากประจำ ด้วยดอกเบี้ยที่น้อยนิดไม่บาลานซ์กับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้ค่าเงินบาทเล็กลง ก็จำเป็นต้องเพิ่มพูนมันซะ  แล้วแต่คิดนะว่าใครจะเพิ่มพูนอย่างไร  บางคนก็ซื้อ LTF, RMF, กองทุน, พันธบัตร, ฉลากออมสิน, หุ้น, ทองคำ ฯลฯ ก็ศึกษากันไปนะคะ

สุดท้ายของสุดท้าย นี่เป็นวิธีการคิดและอดออมที่หม่ามี๋ทำมาตลอดตั้งแต่เรียนจบและเริ่มทำงานค่ะ  อาจจะไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน แต่นำแนวทางในการออมนี้ไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ 

 

ป.ล.  อยากพูดเรื่องประกันกับการออมจังเลย ยกไปครั้งหน้าแล้วกันนะคะ บายยยย

;;

By :
Free Blog Templates