คำว่า “ปาเต๊ะ” เป็นภาษาชวา ใช้เรียกผ้าย้อมสีชนิดหนึ่ง
ที่รวมเอาศิลปะทางด้านฝีมือและเทคนิคทางการย้อมสีเข้าด้วยกัน ตามหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏว่า มีการทำผ้าปาเต๊ะมาประมาณ 2,000 ปี
แหล่งกำนิดของศิลปะพื้นเมืองโบราณนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด หลักฐานที่พบ
ไม่เฉพาะแต่ในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ยังพบในญี่ปุ่นและแอฟริกาด้วย
ในระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17 ผู้หญิงในตระกูลสูงของอินโดนีเซียเป็นผู้ริเริ่มทำผ้าปาเต๊ะด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามหลายแบบขึ้น ใช้สำหรับชายหญิงชาวอินโดนีเซีย ต่อจากนั้นชาวดัชท์ก็นำผ้าปาเต๊ะจากชวาไปแพร่หลายยังทวีปยุโรป ศิลปะการทำผ้าปาเต๊ะของชวาที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีก็คือ โสร่งปาเต๊ะ และ การทำผ้าปาเต๊ะได้กลายเป็นเทคนิคทางหัตถกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนศิลปะอย่างอื่น
การทำผ้าปาเต๊ะ
อาศัยเทคนิคง่ายๆ คือ การกันสีด้วยเทียนโดยการเขียน หรือ
พิมพ์เป็นลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้าในส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีย้อม เมื่อนำไปย้อมสีก็จะติดเฉพาะส่วนที่ไม่ลงเทียนไว้ และติดซึมไปตามรอยแตกของเทียน
เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตาอันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าปาเต๊ะ
ผ้าปาเต๊ะนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด เช่น
เครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ
เน็คไท ผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน
ผ้าคลุมเตียง และ อื่นๆ
สำหรับเมืองไทย การทำผ้าปาเต๊ะ โดยวิธีการพิมพ์ลวดลายผ้าด้วยเทียนบนผืนผ้าเป็นอุตสาหกรรมกันมานานแล้วแถบภาคใต้ เช่น
ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ฯลฯ
กองอุตสาหกรรมสิ่งทอ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนส่งเสริมให้อาชีพการทำผ้าปาเต๊ะแพร่หลายยิ่งขึ้น จึงได้ดำเนินการอบรมการทำผ้าปาเต๊ะให้แก่ผู้สนใจ
วัสดุและการเตรียม
1. วัสดุที่ใช้ในการทำผ้าปาเต๊ะ
- ผ้าฝ้าย ลินิน
วิสโคส และ ไหม
เป็นชนิดของผ้าที่นำมาทำผ้าปาเต๊ะได้
เส้นใยผ้าเหล่านี้สามารถย้อมติดสีที่ใช้กรรมวิธีย้อมเย็นได้ดี เพราะที่ต้องใช้กรรมวิธีย้อมเย็น
(อุณหภูมิไม่เกิน 35
องศา เพราะ เทียนมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก ถ้าย้อมอุณหภูมิสูง
เทียนก็จะละลายหลุดออกจากผ้าขาดคุณสมบัติกันสีตามที่ต้องการไป) ผ้าที่ใช้ต้องไม่หนาจนเกินไป เพื่อให้เทียนสามารถซึมผ่านทะลุถึงอีกด้านหนึ่ง และจะได้ลวดลายผ้าปาเต๊ะที่สวยงาม
ถ้าจำเป็นต้องใช้ผ้าหนาเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ก็ต้องลงเทียนทั้งสองหน้า
ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองทียนมาก ผ้าที่เหมาะในการทำผ้าปาเต๊ะ เช่น ผ้าฝ้ายมัสลิน ผ้าซันเฟอร์ไรท์ ผ้าลินินริมเขียว ผ้าไปมชนิดเนื้อบาง
-
เทียน(wax) ใช้สำหรับเขียนหรือพิมพ์ลวยลายบนผืนผ้าเพื่อกันสีย้อมได้ เทียนได้มาจากการผสมของขี้ผึ้ง (Bee
Wax) และ พาราฟิน (Parafin Wax)
ในอัตราส่วนที่พอเหมาะที่จะให้เกิดรอยแตกของลายมากน้อยตามต้องการ ขี้ผึ้งเป็นตัวทำให้เหนียวเกาะจับผ้าดี แต่เกิดรอยแตกยาก ส่วนพาราฟินจะทำให้เทียนเปราะมีรอยแตก
หากผสมมาก ก็จะเกิดรอยแตกมาก
บางทีจะผสมยางสนและไขมันสัตว์ลงไป
ช่วยให้เทียนเปราะง่ายขึ้น
-
กรอบไม้ (Frame) เป็นโครงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือ
ผืนผ้า สำหรับขึงผ้าเวลาเขียนลาย มีขนาดความกว้างยาวตามความกว้างยาวของชิ้นผ้าที่จะทำผ้าปาเต๊ะ ควรทำด้วยไม้เนื้ออ่อน (ขนาด 1 ½ - 2” จำนวน 2 ชุด)
เพื่อใช้เปิดยึดผ้าและดึงออกได้สะดวก และกรอบไม้ควรทำให้สามารถปรับขนาดความกว้างยาวตามชิ้นงานต่างๆ
กันได้
- โต๊ะพิมพ์ลาย เป็นโต๊ะที่ใช้พิมพ์ลายเทียนด้วยบล็อก
หรือสเตนซิล (Stencil)
ปูด้วยกาบกล้วย เพื่อไม่ให้เทียนติดโต๊ะพิมพ์
-
เครื่องมือสำหรับเขียนลวดลาย มี
พู่กันไม้ หรือ ปากกาทำด้วยทองเหลือง มีช่องทางให้น้ำเทียนไหลออก
และมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเขียนเทียนโดยเฉพาะเรียกว่า ซ่านติ้ง (Tjanting) มีลักษณะเป็นกาเล็กๆ ทำด้วยทองเหลือง
มีพวยและที่จับ
-
สีย้อม เป็นสีประเภทย้อมเย็น ได้แก่
Vat
Dyes, Solubilised Vat Dyes, Reactive Dyes, Azoic Dyes.
2. การเตรียมวัสดุก่อนการลงมือทำ
-
การเตรียมผ้า ผ้าที่จะนำมาใช้ทำปาเต๊ะ
จำเป็นต้องขจัดสิ่งสกปรกและสารที่เคลือบแต่งอยู่บนผิวหน้า เช่น แป้ง
สารตกแต่งความขาว (Optical
Brightener) เป็นต้น ออกให้หมดก่อน เพื่อให้เทียนซึมผ่านได้สะดวก และให้สีย้อมติดผ้าดีไม่ด่าง โดยวิธีการ Souring คือ ต้มโซดา (Soda
Boiling) ซึ่งมีสารเคมีพวกโซดาแอส โซดาไฟ
และสบู่เทียน (Wetting Agent) สำหรับผ้าฝ้ายและลินิน (แต่ผ้าไหมใช้เพียง โซดาแอส และสบู่เทียน) โดยต้มที่อุณหภูมิ 100
องศาเซลเซียล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้สัดส่วนของสารเคมีดังต่อไปนี้
โซดาแอส
1 กรัม/ลิตร
โซดาไฟ 1 กรัม/ลิตร (เฉพาะผ้าฝ้ายและลินิน)
สบู่เทียน 1
กรัม/ลิตร
เสร็จแล้วซักน้ำสะอาด ตากแห้ง
และรีดให้เรียบ เพื่อเตรียมไว้เขียนและพิมพ์ลายด้วยเทียนต่อไป
- การเตรียมน้ำเทียน น้ำเทียนที่จะใช้ เขียนหรือพิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้า ใช้อัตราส่วนผสม (โดยน้ำหนัก) ของขี้ผึ้งและพาราฟิน ระหว่าง 1 :
4 เป็นอย่างต่ำ จนถึง 1
: 12 เป็นอย่างสูง
อัตราส่วนของพาราฟินที่มากขึ้นช่วยให้เกิดรอยแตกของเทียนบนผ้าได้มากขึ้น
จะผสมในอัตราส่วนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ
แล้วนำไปตั้งไฟที่ร้อนพอประมาณ (ควรระวังอย่างมาก
ถ้าไฟร้อนจัดมากอาจเกิดการลุกไหม้เป็นอันตรายได้) จนน้ำเทียนหลอมเหลวหมดมีอุณหภูมิประมาณ 120
– 140 องศาเซลเซียล
ไม่ควรให้น้ำเทียนร้อนมากกว่านี้
เพราะจะทำให้เทียนซึมกระจายไปตามเส้นใยผ้า
ไม่เกาะตัวเป็นลวดลายลงผ้าตามที่ต้องการ
และไม่ควรให้น้ำเทียนเย็นเกินไปเพราะเทียนจะแข็งเกาะติด
อุดช่องเครื่องมือเครื่องเขียนหรือพิมพ์ลวดลาย ทำให้การเขียนลายลำบาก ไม่สม่ำเสมอ และไม่ติดผ้าเวลาย้อมสี เทียนจะหลุดออกมา ไม่ได้ลวดลายตามต้องการ จึงควรมีเตาไฟอ่อนๆ อุ่นเทียนอยู่เสมอ เพื่อรักษาอุณหภูมิของน้ำเทียนให้อยู่ในระดับใช้งานได้
-
การเตรียมน้ำย้อมสี
การย้อมสีแต่ละประเภทใช้สารเคมีประกอบในการเตรียมน้ำย้อมแตกต่างกันออกไป (ดูเรื่องกรรมวิธีการย้อมสี)
ซึ่งจะมีสารเคมีจำพวกกรดหรือด่างปนอยู่ด้วย กรดและด่างจะทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆ ดังนั้นไม่ควรใช้อ่างย้อมที่ทำด้วยโลหะพวก เหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง สังกะสี
เพราะจะทำให้เกิดการผุกร่อนของโลหะ เกิดสนิมเปื้อนติดผ้า ทำให้สีผ้าที่ย้อมเปลี่ยนไปได้ ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะที่เคลือบบผิวแล้ว หรือ
ภาชนะดินเผาเคลือบ ดีที่สุด
ขนาดของภาชนะควรมีความกว้างมากกว่าความสูง
เพื่อให้ผ้าที่ย้อมแผ่กระจายติดสีได้สม่ำเสมอ เช่น ชามอ่างหรือกะละมัง ฯลฯ
3. การเตรียมลายผ้าปาเต๊ะ
-
วิธีการออกแบบลายผ้า
ขั้นแรกผู้ออกแบบต้องรู้ก่อนว่าผ้าที่จะนำมาเขียนนั้น จะนำไปทำอะไร เช่น ผ้าเช็ดหน้า
ผ้าพันคอ ผ้าม่าน ฯลฯ แล้วจึงออกแบบให้เหมาะสมได้สัดส่วนต่อพื้นที่และขนาด
สำหรับผู้ออกแบบที่ยังไม่ชำนาญ ควรหัดร่างลายลงบนกระดาษขาวก่อนหลายๆ ลาย แล้วเลือกลายที่ชอบลอกลงบนผ้าด้วยดินสอดำ
ปาเต๊ะที่นิยมโดยทั่วไป เป็นปาเต๊ะที่ทำด้วยฝีมือจึงจะถือว่าเป็นศิลปะและน่าภูมิใจมากกว่า ปาเต๊ะที่พิมพ์ด้วยเครื่อง เพราะลายในการเขียนผ้าแต่ละผืนย่อมไม่เหมือนกัน ช่องไฟไม่เท่ากัน
อยู่ที่ผู้ออกแบบลายจะมีความสามารถและมองเห็นความงามของลายที่เขียนได้มากน้อยแค่ไหน
- ขนาดของลายที่จะเขียนลงบนผ้าลักษณะต่างๆ การออกแบบไม่จำเป็นที่จะต้องออกลายละเอียดจนเกินไปเพราะจะยากในการลงเทียน ควรออกแบบลายให้ช่องไฟห่างพอสมควร ให้คำนึงถึงผ้าที่จะนำไป
ใช้ประโยชน์และให้สัมพันธ์กับลายด้วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า –
ออกแบบลายตรงกลางของผ้าหรือมุมผ้า
ลายมีขนาดพอดี
อาจจะเป็นลายเส้นทรงเลขาคณิต หรือ ลายเส้นที่อ่อนไหว เช่น ดอกไม้ แล้วแต่ถนัด
การออกแบบลายผ้าคลุมผม ก็มีลักษณะเดียวกับผ้าเช็ดหน้า จะต่างกันก็ตรงขนาดของผ้าและขนาดของลาย คือ
ลายจะต้องขยายใหญ่ขึ้นตามอัตรส่วนของผ้า
การออกแบบลายผ้าตัดเสื้อ
ส่วนมากลายผ้ามักจะแตกต่างไปจากลายผ้าเช็ดหน้าและผ้าคลุมผม มีการออกแบบได้ 2 ลักษณะ คือ ลายซ้ำๆ หรือ
ลายเชิง และ ตลอดทั้งผืน
ลายไม่เหมือนกันเลย
อยู่ที่ความประสงค์ของผู้ออกแบบว่าจะเน้นให้สวยงามไปในด้านไหน เมื่อนำมาสวมใส่
การออกแบบลายซ้ำ (Repetition) คือ
การออกแบบลายครั้งเดียวเป็นกลุ่มๆ แล้วเขียนลายซ้ำๆ กันจนหมดผืนผ้า แต่การเขียนลายชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเขียนบนผ้าปาเต๊ะ เพราะยากในการเขียนที่จะให้ช่องไฟเท่ากันไปตลอด
และเมื่อเสร็จแล้วมันไม่ค่อยสวยงามและมองดูคล้ายๆ ผ้าพิมพ์
การเขียนลายเชิง หรือ
ลายที่ไม่เหมือนกันตลอดทั้งผืนนั้น ก่อนออกแบบลายมักจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนเกี่ยวกับการจะนำไปตัดเป็นชุดว่า เมื่อออกแบบลายอย่างนี้มาเท่านี้ เมื่อตัดตามลายแล้วผ้าจะพอไหม เมื่อคิดดีแล้วก็เขียนลายไปตามความพอใจ มักจะเขียนแบบ Free Hand คือ
ไม่ต้องร่างลายลงบนผ้าเสียก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ
เราต้องรู้อยู่เสมอว่าลายของผ้าปาเต๊ะอย่างเดียวนั้นไม่ได้ทำให้ผ้าสวยงามสมบูรณ์ ต้องใช้สีย้อมประกอบด้วยเป็นอย่างมาก เพราะสีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจควบคู่กันไปกับลาย
ผ้าม่านก็มีลักษณะคล้ายผ้าตัดเสื้อ แต่ผ้าม่านเรามักจะใช้ลายใหญ่ๆ เพราะไม่ต้องคำนึงถึงการต่อลายเหมือนเวลาเขียนผ้าตัดเสื้อ
-
การลงลวดลายด้วยเทียนบนผืนผ้า อาจทำได้ 3 แบบ ด้วยกันคือ
ก.
การเขียนลงบนผืนผ้าตามลวดลายที่ลอกลงไว้ด้วยดินสอดำเป็นลักษณะ Free Hand Drawing หรือ
ถ้าชำนาญในการเขียนลวดลายมากพอ
ก็เขียนเทียนเป็นลวดลายบนผืนผ้าเลย
โดยใช้พู่กัน หรือ ซานติ้ง
แล้วแต่ขนาดของเส้นและลวดลายที่ต้องการใช้
การใช้ซานติ้ง จะกำหนดลวดลายเส้นใหญ่เล็กได้ตามความต้องการ โดยใช้กาที่มีรูพวยขนาดต่างๆ กัน
ข. การใช้บล็อกพิมพ์เทียนลงบนผ้า บล็อกที่ใช้ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง หรือ
สังกะสี และมีที่จับ
ตัวบล็อกแกะเป็นลวดลายต่างๆ
วิธีนี้จะได้ลวดลายผ้าที่สม่ำเสมอตลอดผืนผ้า
ค. การใช้สเตนซิล
ที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสีขาว
ที่มีลวดลายละเอียดสวยงามและสามารถที่จะทำลวดลายบนผ้าเหมือนๆ กันได้เป็นชุด
หลาย ๆ ผืน
สเตนซิลแผ่นหนึ่งจะใช้ลงเทียนได้ 40 – 50 ครั้ง
4. การย้อมสีผ้าปาเต๊ะ
-
อิทธิพลของสีที่มีต่อผ้า สีที่ใช้กันก็มักจะเป็นประเภทสีกลมกลืน อาจเป็นโทนร้อนหรือเย็นก็ได้ หรือสีคนละโทนนำมาผสมกันที่รียกว่า สีตัดกัน (contrast) แล้วแต่รสนิยมของผู้ทำ และต้องถูกกับสภาพ แวดล้อมที่ปาเต๊ะนั้นๆ
จะไปปรากฏอยู่ด้วย
สีของผ้าปาเต๊ะที่นิยมทำกันมีได้ตั้งแต่
1, 2, 3 สี แล้วแต่ความต้องการของผู้ออกแบบ
ก . การใช้สีเดียว คือ
เขียนลวดลายด้วยเทียนแล้วนำไปย้อม
ควรจะเป็นสีเข้ม
จะทำให้เห็นลวดลายได้เด่นชัดสวยงาม
ข.
การใช้สี 2
สี คือ เขียน Outline
เสรร็จแล้วนำไปย้อมครั้งที่ 1 ควรจะใช้สีอ่อน เสร็จแล้วผึ่งจนแห้ง นำมากลบเทียนเพื่อเก็บสีแรกที่เราต้องการไว้ แล้วนำไปย้อมสีที่เข้มกว่าอีกครั้งหนึ่ง
ค. การใช้สี
3 สี คือ มีวิธีการเหมือนกับย้อม 2 สี ผิดกันแต่ว่า เมื่อย้อมสีที่
2 แล้ว ต้องนำมากลบเทียนเก็บสีที่ 2 ที่เราต้องการไว้อีก
แล้วนำไปย้อมสีอีกหนหนึ่ง
ครั้งสุดท้ายจะต้องเป็นสีที่เข้มมาก
เพื่อสี 2 สี ที่แล้วจะได้เห็นเด่นชัด การย้อมสี 3 สีนี้เป็นการเสียเวลามาก
ถ้าเราต้องการสีมากกว่านี้
ต้องคำนึงถึงลวดลายที่เขียนด้วยเทียนว่าเทียนยังติดเนื้อผ้าดีอยู่หรือเปล่า ส่วนมากไม่นิยมทำหลายสีจนเกินไป
เพราะทำให้ได้สีไม่สวย
5. กรรมวิธีขั้นสุดท้ายของการทำผ้าปาเต๊ะ
- การลอกเทียน
เมื่อย้อมได้ลวดลายผ้าตามต้องการแล้ว
ขั้นต่อไปคือ การลอกเทียนออกจากผ้า
ซึ่งทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
ก. ต้ม วิธีนี้ดีที่สุด คือ
ใช้น้ำร้อนลวกเทียนจนเกือบหมด
แล้วจึงเอาลงต้มในอ่างน้ำร้อนที่มีสบู่จนเทียนหลุดออกหมด
ข. รีด วางผ้าปาเต๊ะที่จะลอกเทียนลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ
หลายๆ ชั้น และทับต่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายๆ ชั้น
รีดบนกระดาษไปมาจนกระทั่งเทียนซึมติดหนังสือพิมพ์ วิธีการนี้เทียนอาจจะเปื้อนเป็นขอบรอบลายผ้า จะขจัดรอยเปื้อนได้โดยใช้น้ำละลาย (Cleaning
Salvent)
แต่ถ้าเป็นผ้าที่ย้อมด้วยสี
จะใช้น้ำยานี้ไม่ได้
จะต้องนำไปต้มต่อด้วยสบู่
ค.
ใช้น้ำยา (Cleaning
Salvent)
เหมาะสำหรับสถานที่แคบ ไม่สามารถลอกเทียนได้ ใช้สารละลายพวกแอลกอฮอล์หรือน้ำยาซักแห้งพวกเบนซิน
หรือ เตตราคลอไรด์
แต่สารเหล่านี้เป็นสารติดไฟ
เวลาใช้ควรระวังไม่ให้ใกล้ไฟ
สารละลายเหล่านี้เมื่อใช้แล้วเก็บไว้ใช้ครั้งต่อๆไปได้ นำผ้าที่ลอกเทียนแล้วไปซักอีกที
-
การทำความสะอาดผ้าและตกแต่งขั้นสุดท้าย
หลังจากลอกเทียนออกจากผ้าปาเต๊ะที่ย้อมสีเสร็จด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว
จำเป็นต้องทำความสะอาดผ้าให้เทียนและสีที่เกาะอยู่หลวมๆ ตามผิวผ้าหมดไป พร้อมทั้งตกแต่งเป็นขั้นสุดท้าย เพื่อคุณภาพที่ดีของผ้าปาเต๊ะที่ผลิตออกมา คือ มีความนุ่มนวลในการสัมผัส ไม่ตกสี เมื่อซักฟอกตามปกติหลังจากการใช้ (การซักให้สีติดทน โดยผสมน้ำส้มสายชู + ซันไลต์
แช่ผ้าลงไปสักครู่ใหญ่
แล้วซักปกติ)