04 เมษายน 2557


              วิธีนี้เป็นวิธีที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์ชนิดเส้นใยโดยเฉพาะเส้นใยสังเคราะห์   ทั้งนี้เนื่องจากเส้นใยสังเคราะห์แต่ละตัวประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ต่างกัน  จึงถูกละลายด้วยสารเคมีที่ต่างชนิดกัน  ในการวิเคราะห์โดยการละลายด้วยสารเคมี  เราอาจจำแนกได้เป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ


1.  ละลายด้วยสารละลายที่กำหนดให้
จากตารางวิเคราะห์โดยการละลายด้วยสารเคมีจะเห็นว่า  สิ่งที่ต้องควบคุมคือ
1.1  ความเข้มข้นของสารละลาย
1.2  อุณหภูมิที่ใช้
1.3  เวลา
ก่อนการทดสอบควรมีข้อมูลจากการทดสอบด้วยวิธีอื่นๆ  เช่น  จากการเผาไหม้ หรือ ดูลักษณะด้วยกล้องจุลทรรศน์  แล้วจึงมาเลือกสารเคมีที่เหมาะสม

วิธีการทดสอบ
-  ใช้เส้นใยจำนวนเล็กน้อย  เขี่ยให้กระจาย
-   ถ้าอุณหภูมิที่กำหนดให้ 20 องศาเซลเซียล  ให้แช่สารเคมีในน้ำเย็นที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียล  แล้วจึงใส่เส้นใยเขย่า
-   ถ้าอุณหภูมิที่กำหนดให้ 38 องศาเซลเซียล  ให้แช่สารเคมีในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียล  แล้วจึงใส่เส้นใย
-   ถ้าอุณหภูมิที่กำหนดให้เป็นจุดเดือดของสารละลาย  ให้ใส่สารละลายใน Breaker แล้ววางลงบน Hot Plate ใส่ในตู้ดูดควัน ปรับอุณหภูมิตามที่ต้องการ  สารละลายจะเดือดช้าๆ  แล้วจึงใส่เส้นใยลงไป
-   ให้สังเกตการละลายของเส้นใย  เปรียบเทียบกับตารางการละลาย



จากตารางการละลาย  จะเห็นว่าวิธีนี้เหมาะสมกับการวิเคราะห์เส้นใยสังเคราะห์   คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของเส้นใยสังเคราะห์   คือ  อ่อนตัวเมื่อใกล้ความร้อนและแข็งตัวเมื่อเย็น  ซึ่งเราเรียกเส้นใยประเภทนี้ว่า เส้นใยเทอร์โมพลาสติก  เส้นใยเทอร์โมพลาสติกแบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ พวกที่หลอมที่อุณหภูมิสูงและเส้นใยที่หลอมที่อุณหภูมิต่ำ  ซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะห์ส่วนใหญ่ที่พบได้ตามท้องตลาด 




2.  โดยการจำแนกเป็นกลุ่มตามสารประกอบไนโตรเจนและคลอรีน
                นำตัวอย่างไปหลอมพร้อมกับผงโปแตสเซียมไนเตรต  สังเกตุดูว่าตัวอย่างหลอมก่อนหรือหลังผงโปแตสเซียมไนเตรต 


               คำว่า Tie-Dye  ดัดแปลงมาจากคำว่า Tie and Dye  แหล่งกำเนิดการผลิตไม่ปรากฏชัด  สันนิษฐานกันว่า  เป็นเทคนิคการผลิตลวดลายบนผืนผ้าแบบหนึ่งที่เก่าแก่มาก 

                Tie and Dye  เป็นการทำลวดลายบนผืนผ้าแบบต่อต้าน  Resist Dyeing  มีหลักเกณฑ์ในการทำคล้ายๆ กับการทำผ้าปาเต๊ะ  จะต่างกันก็ตรงที่อาศัยเส้นด้ายหรือเชือกมัดผืนผ้าบางส่วนไว้  แรงมัดในเส้นด้ายจะมีผลทำให้เกิดความกดดันขึ้นในบริเวณนั้น  และป้องกันมิให้สีแทรกซึมเข้าไปติดบริเวณดังกล่าวได้  การย้อมชนิดนี้คล้ายคลึงกับการย้อมสีแบบมัดหมี่  ซึ่งเป็นงานฝีมือในการทอผ้ามัดหมี่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย

วัสดุที่ใช้ในการทำผ้า Tie-Dye
-  วัสดุหรือผ้าที่ใช้ทำ Tie-Dye  ได้แก่ ผ้าที่ทำจากฝ้าย  ป่าน  ปอ  ลินิน  ไหม  ขนสัตว์  เรยอน  โพลีเอไมด์  โพลีเอสเตอร์ ฯลฯ  เช่น ผ้าดิบ  ผ้ามัสลิน ฯลฯ
-  เส้นด้าย, เชือกฟาง, หนังสติ๊ก, เศษสตางค์, ฝาขวด, ที่หนีบผ้า, ก้อนหิน, ฯลฯ
-  สีเคมี และ อุปกรณ์ที่ใช้ในการมัดย้อม  (ดูเรื่องกรรมวิธีการย้อมสี)

ลำดับขั้นการทำ
1.  การเตรียมผ้า  ผ้าขาวหรือผ้าสีที่ขายตามท้องตลาด   ปัจจุบันมักตกแต่งด้วยแป้งหรือเรซิน เพื่อผลทางการค้า  จึงควรกำจัดออกเสียก่อนโดยใช้สารเคมีดังนี้
                โซดาแอส                                             1  กรัม/ลิตร
                โซดาไฟ                                                1  กรัม/ลิตร
                สบู่เทียม                                                1  กรัม/ลิตร 

2.  การเตรียมลวดลาย  อาจใช้ดินสอ หรือ ชอล์คสีอ่อนๆ  ร่างลวดลายเบาๆ บนผืนผ้า

3.  การมัดผ้า  วิธีในการทำให้เกิดลวดลายต่างๆ บนผืนผ้า  จะแตกต่างกันออกไปตามเทคนิคในการมัด  ซึ่งมีอยู่หลายวิธี  เช่น
                Marbling               โดยการขยำผ้าทำเป็นก้อนกลมๆ หรือ รี แล้วใช้เชือกพันมัดไว้โดยรอบ
                Tying                     โดยการยึดเอาบริเวณใดบริเวณหนึ่งของผืนผ้าเป็นศูนย์กลาง  รวบปลายที่เหลือแล้วดึงให้ตึง  ใช้เชือกพันรัดโดยรอบบริเวณที่ต้องการจะให้เกิดเป็นตัวลวดลาย  การมัดลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะได้ลวดลายเป็นรูปวงกลม
                Folding                  โดยการพับผ้าตามแนวใดแนวหนึ่งของผืนผ้า วางเรียงซ้อนๆ กัน (แบบหีบเพลง)  ดึงปลายทั้งสองข้างให้ตึงแล้วใช้เชือกพันรัดบริเวณที่ต้องการจะให้เกิดเป็นตัวลวดลาย
                                                นอกจากที่กล่าวมา  ยังอาจใช้วัตถุบางอย่าง  เช่น ก้อนกรวด  ก้อนหิน  กระดุม  ฝาขวด  เศษสตางค์ ฯลฯ  เป็นจุดศูนย์กลางได้อีกด้วย
                Stitching                โดยการใช้เชือก หรือ เส้นด้าย เนาไปบนผืนผ้า หรือ เย็บเป็นลวดลายที่ออกแบบไว้ต่อๆ กันไปจนด้ายที่สอยหรือเนามาบรรจบกัน  จากนั้นดึงรวบเส้นด้ายที่สอยมาใช้ชิดกัน 

4.  การย้อมสี   ทำได้ทั้งแบบย้อมโดยใช้ความร้อนสูง และย้อมที่อุณหภูมิห้อง  จะทำลวดลายกี่สีก็ได้ในผืนผ้าเดียวกัน  ในกรณีที่ต้องการทำลวดลายหลายสี  ภายหลังจากการมัดและย้อมสีแรกเสร็จ  ให้นำมาทำการมัดเพิ่มอีกครั้ง  โดยการมัดปกปิดสีส่วนที่ต้องการไว้  จากนั้นให้นำไปย้อมสีใหม่ที่ต้องการอีกครั้ง  ทำเช่นนี้สลับกันไปเรื่อยจนกว่าจจะได้ลวดลายและสีครบตามที่ต้องการ
                   ในการทำลวดลายหลายๆ สี  โดยใช้สีย้อมเพียงสีเดียว  อาจทำได้โดยอาศัยลักษณะการมัดซ้ำๆ  ในด้านการย้อมอาจทำได้โดยการเริ่มต้นย้อมด้วยสีที่อ่อนๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มเปอร์เซนต์ความเข้มของสีย้อมขึ้นเรื่อยๆ

28 มีนาคม 2557


คำว่า  ปาเต๊ะ เป็นภาษาชวา ใช้เรียกผ้าย้อมสีชนิดหนึ่ง  ที่รวมเอาศิลปะทางด้านฝีมือและเทคนิคทางการย้อมสีเข้าด้วยกัน  ตามหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏว่า  มีการทำผ้าปาเต๊ะมาประมาณ 2,000 ปี  แหล่งกำนิดของศิลปะพื้นเมืองโบราณนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด  หลักฐานที่พบ  ไม่เฉพาะแต่ในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น  ยังพบในญี่ปุ่นและแอฟริกาด้วย 


ในระหว่างศตวรรษที่  16 และ 17  ผู้หญิงในตระกูลสูงของอินโดนีเซียเป็นผู้ริเริ่มทำผ้าปาเต๊ะด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามหลายแบบขึ้น  ใช้สำหรับชายหญิงชาวอินโดนีเซีย  ต่อจากนั้นชาวดัชท์ก็นำผ้าปาเต๊ะจากชวาไปแพร่หลายยังทวีปยุโรป  ศิลปะการทำผ้าปาเต๊ะของชวาที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีก็คือ  โสร่งปาเต๊ะ และ การทำผ้าปาเต๊ะได้กลายเป็นเทคนิคทางหัตถกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนศิลปะอย่างอื่น

การทำผ้าปาเต๊ะ อาศัยเทคนิคง่ายๆ  คือ  การกันสีด้วยเทียนโดยการเขียน หรือ พิมพ์เป็นลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้าในส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีย้อม  เมื่อนำไปย้อมสีก็จะติดเฉพาะส่วนที่ไม่ลงเทียนไว้  และติดซึมไปตามรอยแตกของเทียน  เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตาอันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าปาเต๊ะ

ผ้าปาเต๊ะนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด  เช่น  เครื่องนุ่งห่ม  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ  เน็คไท  ผ้าปูโต๊ะ  ผ้าม่าน  ผ้าคลุมเตียง และ อื่นๆ

สำหรับเมืองไทย  การทำผ้าปาเต๊ะ  โดยวิธีการพิมพ์ลวดลายผ้าด้วยเทียนบนผืนผ้าเป็นอุตสาหกรรมกันมานานแล้วแถบภาคใต้  เช่น  ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ฯลฯ  กองอุตสาหกรรมสิ่งทอ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนส่งเสริมให้อาชีพการทำผ้าปาเต๊ะแพร่หลายยิ่งขึ้น  จึงได้ดำเนินการอบรมการทำผ้าปาเต๊ะให้แก่ผู้สนใจ

วัสดุและการเตรียม
1.  วัสดุที่ใช้ในการทำผ้าปาเต๊ะ 
-  ผ้าฝ้าย  ลินิน  วิสโคส และ ไหม  เป็นชนิดของผ้าที่นำมาทำผ้าปาเต๊ะได้   เส้นใยผ้าเหล่านี้สามารถย้อมติดสีที่ใช้กรรมวิธีย้อมเย็นได้ดี  เพราะที่ต้องใช้กรรมวิธีย้อมเย็น (อุณหภูมิไม่เกิน 35 องศา เพราะ เทียนมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก  ถ้าย้อมอุณหภูมิสูง  เทียนก็จะละลายหลุดออกจากผ้าขาดคุณสมบัติกันสีตามที่ต้องการไป)  ผ้าที่ใช้ต้องไม่หนาจนเกินไป  เพื่อให้เทียนสามารถซึมผ่านทะลุถึงอีกด้านหนึ่ง  และจะได้ลวดลายผ้าปาเต๊ะที่สวยงาม   ถ้าจำเป็นต้องใช้ผ้าหนาเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม  ก็ต้องลงเทียนทั้งสองหน้า  ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองทียนมาก   ผ้าที่เหมาะในการทำผ้าปาเต๊ะ  เช่น ผ้าฝ้ายมัสลิน ผ้าซันเฟอร์ไรท์  ผ้าลินินริมเขียว ผ้าไปมชนิดเนื้อบาง
-  เทียน(wax)  ใช้สำหรับเขียนหรือพิมพ์ลวยลายบนผืนผ้าเพื่อกันสีย้อมได้  เทียนได้มาจากการผสมของขี้ผึ้ง (Bee Wax) และ พาราฟิน (Parafin Wax)  ในอัตราส่วนที่พอเหมาะที่จะให้เกิดรอยแตกของลายมากน้อยตามต้องการ  ขี้ผึ้งเป็นตัวทำให้เหนียวเกาะจับผ้าดี  แต่เกิดรอยแตกยาก  ส่วนพาราฟินจะทำให้เทียนเปราะมีรอยแตก หากผสมมาก ก็จะเกิดรอยแตกมาก  บางทีจะผสมยางสนและไขมันสัตว์ลงไป  ช่วยให้เทียนเปราะง่ายขึ้น
-  กรอบไม้ (Frame)  เป็นโครงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือ ผืนผ้า  สำหรับขึงผ้าเวลาเขียนลาย  มีขนาดความกว้างยาวตามความกว้างยาวของชิ้นผ้าที่จะทำผ้าปาเต๊ะ  ควรทำด้วยไม้เนื้ออ่อน (ขนาด 1 ½ - 2” จำนวน 2 ชุด)  เพื่อใช้เปิดยึดผ้าและดึงออกได้สะดวก และกรอบไม้ควรทำให้สามารถปรับขนาดความกว้างยาวตามชิ้นงานต่างๆ กันได้
-   โต๊ะพิมพ์ลาย  เป็นโต๊ะที่ใช้พิมพ์ลายเทียนด้วยบล็อก หรือสเตนซิล (Stencil)  ปูด้วยกาบกล้วย เพื่อไม่ให้เทียนติดโต๊ะพิมพ์
-  เครื่องมือสำหรับเขียนลวดลาย  มี พู่กันไม้ หรือ ปากกาทำด้วยทองเหลือง มีช่องทางให้น้ำเทียนไหลออก และมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเขียนเทียนโดยเฉพาะเรียกว่า  ซ่านติ้ง (Tjanting)  มีลักษณะเป็นกาเล็กๆ ทำด้วยทองเหลือง มีพวยและที่จับ
-  สีย้อม  เป็นสีประเภทย้อมเย็น  ได้แก่  Vat Dyes, Solubilised Vat Dyes, Reactive Dyes, Azoic Dyes.

2.  การเตรียมวัสดุก่อนการลงมือทำ
-  การเตรียมผ้า  ผ้าที่จะนำมาใช้ทำปาเต๊ะ  จำเป็นต้องขจัดสิ่งสกปรกและสารที่เคลือบแต่งอยู่บนผิวหน้า  เช่น แป้ง  สารตกแต่งความขาว (Optical Brightener)  เป็นต้น ออกให้หมดก่อน  เพื่อให้เทียนซึมผ่านได้สะดวก และให้สีย้อมติดผ้าดีไม่ด่าง  โดยวิธีการ Souring  คือ ต้มโซดา (Soda Boiling)  ซึ่งมีสารเคมีพวกโซดาแอส  โซดาไฟ และสบู่เทียน (Wetting Agent) สำหรับผ้าฝ้ายและลินิน  (แต่ผ้าไหมใช้เพียง โซดาแอส  และสบู่เทียน)  โดยต้มที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  ใช้สัดส่วนของสารเคมีดังต่อไปนี้ 
โซดาแอส                              1 กรัม/ลิตร
โซดาไฟ                                1 กรัม/ลิตร (เฉพาะผ้าฝ้ายและลินิน)
สบู่เทียน                                1 กรัม/ลิตร
เสร็จแล้วซักน้ำสะอาด  ตากแห้ง  และรีดให้เรียบ  เพื่อเตรียมไว้เขียนและพิมพ์ลายด้วยเทียนต่อไป

-  การเตรียมน้ำเทียน  น้ำเทียนที่จะใช้ เขียนหรือพิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้า  ใช้อัตราส่วนผสม (โดยน้ำหนัก)  ของขี้ผึ้งและพาราฟิน ระหว่าง 1 : 4  เป็นอย่างต่ำ จนถึง 1 : 12 เป็นอย่างสูง  อัตราส่วนของพาราฟินที่มากขึ้นช่วยให้เกิดรอยแตกของเทียนบนผ้าได้มากขึ้น จะผสมในอัตราส่วนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ  แล้วนำไปตั้งไฟที่ร้อนพอประมาณ (ควรระวังอย่างมาก  ถ้าไฟร้อนจัดมากอาจเกิดการลุกไหม้เป็นอันตรายได้)  จนน้ำเทียนหลอมเหลวหมดมีอุณหภูมิประมาณ 120 – 140 องศาเซลเซียล  ไม่ควรให้น้ำเทียนร้อนมากกว่านี้  เพราะจะทำให้เทียนซึมกระจายไปตามเส้นใยผ้า  ไม่เกาะตัวเป็นลวดลายลงผ้าตามที่ต้องการ  และไม่ควรให้น้ำเทียนเย็นเกินไปเพราะเทียนจะแข็งเกาะติด  อุดช่องเครื่องมือเครื่องเขียนหรือพิมพ์ลวดลาย  ทำให้การเขียนลายลำบาก ไม่สม่ำเสมอ  และไม่ติดผ้าเวลาย้อมสี  เทียนจะหลุดออกมา  ไม่ได้ลวดลายตามต้องการ  จึงควรมีเตาไฟอ่อนๆ อุ่นเทียนอยู่เสมอ  เพื่อรักษาอุณหภูมิของน้ำเทียนให้อยู่ในระดับใช้งานได้

-  การเตรียมน้ำย้อมสี  การย้อมสีแต่ละประเภทใช้สารเคมีประกอบในการเตรียมน้ำย้อมแตกต่างกันออกไป  (ดูเรื่องกรรมวิธีการย้อมสี)  ซึ่งจะมีสารเคมีจำพวกกรดหรือด่างปนอยู่ด้วย  กรดและด่างจะทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆ  ดังนั้นไม่ควรใช้อ่างย้อมที่ทำด้วยโลหะพวก  เหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง สังกะสี เพราะจะทำให้เกิดการผุกร่อนของโลหะ เกิดสนิมเปื้อนติดผ้า  ทำให้สีผ้าที่ย้อมเปลี่ยนไปได้  ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะที่เคลือบบผิวแล้ว หรือ ภาชนะดินเผาเคลือบ ดีที่สุด  ขนาดของภาชนะควรมีความกว้างมากกว่าความสูง  เพื่อให้ผ้าที่ย้อมแผ่กระจายติดสีได้สม่ำเสมอ  เช่น ชามอ่างหรือกะละมัง ฯลฯ

3.  การเตรียมลายผ้าปาเต๊ะ
-  วิธีการออกแบบลายผ้า  ขั้นแรกผู้ออกแบบต้องรู้ก่อนว่าผ้าที่จะนำมาเขียนนั้น  จะนำไปทำอะไร เช่น  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ ผ้าม่าน ฯลฯ  แล้วจึงออกแบบให้เหมาะสมได้สัดส่วนต่อพื้นที่และขนาด  
สำหรับผู้ออกแบบที่ยังไม่ชำนาญ  ควรหัดร่างลายลงบนกระดาษขาวก่อนหลายๆ ลาย  แล้วเลือกลายที่ชอบลอกลงบนผ้าด้วยดินสอดำ
ปาเต๊ะที่นิยมโดยทั่วไป  เป็นปาเต๊ะที่ทำด้วยฝีมือจึงจะถือว่าเป็นศิลปะและน่าภูมิใจมากกว่า  ปาเต๊ะที่พิมพ์ด้วยเครื่อง  เพราะลายในการเขียนผ้าแต่ละผืนย่อมไม่เหมือนกัน  ช่องไฟไม่เท่ากัน  อยู่ที่ผู้ออกแบบลายจะมีความสามารถและมองเห็นความงามของลายที่เขียนได้มากน้อยแค่ไหน
-  ขนาดของลายที่จะเขียนลงบนผ้าลักษณะต่างๆ   การออกแบบไม่จำเป็นที่จะต้องออกลายละเอียดจนเกินไปเพราะจะยากในการลงเทียน  ควรออกแบบลายให้ช่องไฟห่างพอสมควร  ให้คำนึงถึงผ้าที่จะนำไป ใช้ประโยชน์และให้สัมพันธ์กับลายด้วย  เช่น  ผ้าเช็ดหน้า ออกแบบลายตรงกลางของผ้าหรือมุมผ้า  ลายมีขนาดพอดี  อาจจะเป็นลายเส้นทรงเลขาคณิต หรือ ลายเส้นที่อ่อนไหว เช่น ดอกไม้  แล้วแต่ถนัด
การออกแบบลายผ้าคลุมผม  ก็มีลักษณะเดียวกับผ้าเช็ดหน้า  จะต่างกันก็ตรงขนาดของผ้าและขนาดของลาย คือ ลายจะต้องขยายใหญ่ขึ้นตามอัตรส่วนของผ้า
การออกแบบลายผ้าตัดเสื้อ  ส่วนมากลายผ้ามักจะแตกต่างไปจากลายผ้าเช็ดหน้าและผ้าคลุมผม  มีการออกแบบได้ 2 ลักษณะ คือ ลายซ้ำๆ หรือ ลายเชิง  และ ตลอดทั้งผืน ลายไม่เหมือนกันเลย  อยู่ที่ความประสงค์ของผู้ออกแบบว่าจะเน้นให้สวยงามไปในด้านไหน  เมื่อนำมาสวมใส่
การออกแบบลายซ้ำ (Repetition) คือ การออกแบบลายครั้งเดียวเป็นกลุ่มๆ แล้วเขียนลายซ้ำๆ กันจนหมดผืนผ้า  แต่การเขียนลายชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเขียนบนผ้าปาเต๊ะ  เพราะยากในการเขียนที่จะให้ช่องไฟเท่ากันไปตลอด  และเมื่อเสร็จแล้วมันไม่ค่อยสวยงามและมองดูคล้ายๆ ผ้าพิมพ์
การเขียนลายเชิง หรือ ลายที่ไม่เหมือนกันตลอดทั้งผืนนั้น  ก่อนออกแบบลายมักจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนเกี่ยวกับการจะนำไปตัดเป็นชุดว่า  เมื่อออกแบบลายอย่างนี้มาเท่านี้  เมื่อตัดตามลายแล้วผ้าจะพอไหม  เมื่อคิดดีแล้วก็เขียนลายไปตามความพอใจ  มักจะเขียนแบบ Free Hand คือ ไม่ต้องร่างลายลงบนผ้าเสียก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ เราต้องรู้อยู่เสมอว่าลายของผ้าปาเต๊ะอย่างเดียวนั้นไม่ได้ทำให้ผ้าสวยงามสมบูรณ์  ต้องใช้สีย้อมประกอบด้วยเป็นอย่างมาก  เพราะสีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจควบคู่กันไปกับลาย
ผ้าม่านก็มีลักษณะคล้ายผ้าตัดเสื้อ  แต่ผ้าม่านเรามักจะใช้ลายใหญ่ๆ  เพราะไม่ต้องคำนึงถึงการต่อลายเหมือนเวลาเขียนผ้าตัดเสื้อ
-          การลงลวดลายด้วยเทียนบนผืนผ้า  อาจทำได้ 3 แบบ ด้วยกันคือ
ก.  การเขียนลงบนผืนผ้าตามลวดลายที่ลอกลงไว้ด้วยดินสอดำเป็นลักษณะ Free Hand Drawing  หรือ ถ้าชำนาญในการเขียนลวดลายมากพอ  ก็เขียนเทียนเป็นลวดลายบนผืนผ้าเลย  โดยใช้พู่กัน หรือ ซานติ้ง  แล้วแต่ขนาดของเส้นและลวดลายที่ต้องการใช้  การใช้ซานติ้ง จะกำหนดลวดลายเส้นใหญ่เล็กได้ตามความต้องการ  โดยใช้กาที่มีรูพวยขนาดต่างๆ กัน
ข.  การใช้บล็อกพิมพ์เทียนลงบนผ้า  บล็อกที่ใช้ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง หรือ สังกะสี และมีที่จับ  ตัวบล็อกแกะเป็นลวดลายต่างๆ  วิธีนี้จะได้ลวดลายผ้าที่สม่ำเสมอตลอดผืนผ้า
ค.  การใช้สเตนซิล  ที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสีขาว  ที่มีลวดลายละเอียดสวยงามและสามารถที่จะทำลวดลายบนผ้าเหมือนๆ กันได้เป็นชุด หลาย ๆ ผืน  สเตนซิลแผ่นหนึ่งจะใช้ลงเทียนได้ 40 – 50 ครั้ง

4.  การย้อมสีผ้าปาเต๊ะ
 -  อิทธิพลของสีที่มีต่อผ้า  สีที่ใช้กันก็มักจะเป็นประเภทสีกลมกลืน  อาจเป็นโทนร้อนหรือเย็นก็ได้  หรือสีคนละโทนนำมาผสมกันที่รียกว่า สีตัดกัน (contrast)  แล้วแต่รสนิยมของผู้ทำ  และต้องถูกกับสภาพ แวดล้อมที่ปาเต๊ะนั้นๆ จะไปปรากฏอยู่ด้วย
สีของผ้าปาเต๊ะที่นิยมทำกันมีได้ตั้งแต่ 1, 2, 3 สี แล้วแต่ความต้องการของผู้ออกแบบ 
ก .  การใช้สีเดียว คือ เขียนลวดลายด้วยเทียนแล้วนำไปย้อม  ควรจะเป็นสีเข้ม  จะทำให้เห็นลวดลายได้เด่นชัดสวยงาม
ข.  การใช้สี 2 สี  คือ เขียน Outline เสรร็จแล้วนำไปย้อมครั้งที่ 1 ควรจะใช้สีอ่อน  เสร็จแล้วผึ่งจนแห้ง   นำมากลบเทียนเพื่อเก็บสีแรกที่เราต้องการไว้  แล้วนำไปย้อมสีที่เข้มกว่าอีกครั้งหนึ่ง
ค.  การใช้สี 3 สี  คือ  มีวิธีการเหมือนกับย้อม 2 สี ผิดกันแต่ว่า  เมื่อย้อมสีที่ 2 แล้ว ต้องนำมากลบเทียนเก็บสีที่ 2  ที่เราต้องการไว้อีก แล้วนำไปย้อมสีอีกหนหนึ่ง  ครั้งสุดท้ายจะต้องเป็นสีที่เข้มมาก  เพื่อสี 2 สี ที่แล้วจะได้เห็นเด่นชัด  การย้อมสี 3 สีนี้เป็นการเสียเวลามาก
ถ้าเราต้องการสีมากกว่านี้  ต้องคำนึงถึงลวดลายที่เขียนด้วยเทียนว่าเทียนยังติดเนื้อผ้าดีอยู่หรือเปล่า   ส่วนมากไม่นิยมทำหลายสีจนเกินไป เพราะทำให้ได้สีไม่สวย

5.  กรรมวิธีขั้นสุดท้ายของการทำผ้าปาเต๊ะ
-  การลอกเทียน  เมื่อย้อมได้ลวดลายผ้าตามต้องการแล้ว  ขั้นต่อไปคือ การลอกเทียนออกจากผ้า  ซึ่งทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
ก.  ต้ม  วิธีนี้ดีที่สุด คือ ใช้น้ำร้อนลวกเทียนจนเกือบหมด  แล้วจึงเอาลงต้มในอ่างน้ำร้อนที่มีสบู่จนเทียนหลุดออกหมด
ข.  รีด  วางผ้าปาเต๊ะที่จะลอกเทียนลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ หลายๆ ชั้น และทับต่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายๆ ชั้น  รีดบนกระดาษไปมาจนกระทั่งเทียนซึมติดหนังสือพิมพ์  วิธีการนี้เทียนอาจจะเปื้อนเป็นขอบรอบลายผ้า  จะขจัดรอยเปื้อนได้โดยใช้น้ำละลาย (Cleaning Salvent)  แต่ถ้าเป็นผ้าที่ย้อมด้วยสี  จะใช้น้ำยานี้ไม่ได้   จะต้องนำไปต้มต่อด้วยสบู่
ค.  ใช้น้ำยา (Cleaning Salvent)  เหมาะสำหรับสถานที่แคบ ไม่สามารถลอกเทียนได้  ใช้สารละลายพวกแอลกอฮอล์หรือน้ำยาซักแห้งพวกเบนซิน หรือ เตตราคลอไรด์  แต่สารเหล่านี้เป็นสารติดไฟ   เวลาใช้ควรระวังไม่ให้ใกล้ไฟ  สารละลายเหล่านี้เมื่อใช้แล้วเก็บไว้ใช้ครั้งต่อๆไปได้  นำผ้าที่ลอกเทียนแล้วไปซักอีกที
-  การทำความสะอาดผ้าและตกแต่งขั้นสุดท้าย   หลังจากลอกเทียนออกจากผ้าปาเต๊ะที่ย้อมสีเสร็จด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว  จำเป็นต้องทำความสะอาดผ้าให้เทียนและสีที่เกาะอยู่หลวมๆ ตามผิวผ้าหมดไป  พร้อมทั้งตกแต่งเป็นขั้นสุดท้าย  เพื่อคุณภาพที่ดีของผ้าปาเต๊ะที่ผลิตออกมา  คือ มีความนุ่มนวลในการสัมผัส  ไม่ตกสี เมื่อซักฟอกตามปกติหลังจากการใช้  (การซักให้สีติดทน  โดยผสมน้ำส้มสายชู + ซันไลต์  แช่ผ้าลงไปสักครู่ใหญ่  แล้วซักปกติ) 

25 มีนาคม 2557



หลังจากการลงเทียนบนผืนผ้าตามลวดลายที่ต้องการแล้ว  ก่อนถึงขั้นการย้อมสี  จะต้องคิดหรือออกแบบไว้ก่อนว่าชิ้นงานผ้าปาเต๊ะนั้นจะออกมาเป็นกี่สี สีอะไรบ้าง  ต้องคำนึงเสมอว่าการย้อมผ้าปาเต๊ะจะต้องย้อมเริ่มต้นจากสีอ่อนไปหาสีเข้ม  และจะต้องรู้ว่าจะใช้สีประเภทไหนกับผ้าใยชนิดนั้นๆ  สีย้อมเย็นทั้ง 4 ประเภท 
โดยทั่วไปเหมาะที่จะย้อมผ้าฝ้าย และผ้าที่มาจากเซลลูโลสอื่นๆ  คือ ลินิน  วิสโคส เป็นต้น  สำหรับผ้าไหมนั้นเป็นเส้นใยจำพวกโปรตีนอาจย้อมได้ด้วยสี Vat, Solubilished Vat และ Reactive  แต่ต้องใช้ ความระมัดระวังในการย้อมให้มาก  โดยปรกติการย้อมผ้าไหมไม่ค่อยเหมาะที่จะย้อมในอ่างน้ำย้อมสีที่เป็นด่าง   เพราะด่างเป็นอันตรายต่อเส้นใยไหม  ทำให้ไหมเสื่อมคุณภาพในด้านลดความเหนียว  และความเป็นเงามันได้  ในกรณีที่ใช้สีที่อ่างน้ำย้อมใช้ด่างจำพวกโซดาไฟซึ่งเป็นด่างแก่  ควรลดปริมาณของด่างให้น้อยลงกว่าปกติที่ใช้ในการย้อมผ้าฝ้าย  และเมื่อเสร็จการย้อมแล้วควรรีบล้างด่างในผ้าออกให้หมด  โดยการต้มล้างด้วยน้ำสบู่หรือน้ำที่ผสมกรดน้ำส้ม  เพื่อทำให้ผ้ามีสภาพเป็นกลาง

                สำหรับกรรมวิธีการการย้อมสีทั้ง 4 ประเภท มีวิธีการย้อม ขั้นตอน  สารเคมีที่ใช้ประกอบแตกต่างกันออกไปดังนี้ 

ก.  การย้อมสี Vat  
     วิธีเตรียมน้ำย้อม  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า (liquor ratio) =  20 : 1
                                                                สีเข้ม                      สีอ่อน
                สี Vat                                     3 – 5                       1 – 2   % ของน้ำหนักผ้า
                ไฮโดร์ซัลไฟด์                        5                               2       กรัม/ลิตร
                โซดาไฟ 38 องศาBe             6                               6       กรัม/ลิตร
                เกลือ                                       30                           15       กรัม/ลิตร
ละลายสีโดยใช้น้ำร้อน 90 องศาเซลเซียล  ประมาณ 20 เท่าของสี ลงในสี, ไฮโดร์ซัลไฟด์ และโซดาไฟ จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำสีเกิดขึ้น  แสดงถึงการละลายของสี  คนจนสีละลายหมด  ใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที  เติมน้ำเย็นให้ครบจำนวนที่ต้องการ ใส่เกลือคนจนละลายหมด  นำผ้าลงย้อม  ใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที  นำขึ้นผึ่งอากาศให้สีอ็อกซิไดส์กับอากาศ  ปรากฏเป็นสีจริงแล้วจึงล้างด้วยน้ำเย็นตากให้แห้ง  เพื่อที่จะนำไปเขียนเทียนต่อไป

ข.  การย้อมสี  Solubilised Vat  แบ่งวิธีการย้อมออกเป็น 2 ขั้น คือ
                1.  ขั้นการย้อมสี
                2.  ขั้นการทำให้เกิดสี (developing)
     วิธีเตรียมน้ำย้อม   ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า  =  20 : 1
                สี Solubilised Vat                 0.2 – 2    % ของน้ำหนักผ้า
                สบู่เทียม                                     0.5     กรัม/ลิตร
                โซดาแอส                                                     1      กรัม/ลิตร
                เกลือ                                                       10 - 25   กรัม/ลิตร
ละลายสีด้วยน้ำร้อน 60 - 70 องศาเซลเซียล  จำนวนเล็กน้อย  เทลงในอ่างย้อม ใส่สบู่เทียม โซดาแอส และ เกลือ  เติมน้ำให้ครบจำนวน  แช่ผ้าในอ่างย้อมประมาณ 30 นาที  แล้วนำไป develop ต่อไป
     การเตรียมน้ำยา Developing  เพื่อทำให้เกิดสี
     ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า               =            20 : 1
                กรดกำมะถัน  95 %                                5  ซีซี/ลิตร
                โซดาไนเตรท                                       0.5   กรัม/ลิตร
                Dispersing Agent                         0.5 - 1   กรัม/ลิตร
                (Solegal หรือ Avola. IS)
เอาผ้าที่ย้อมแล้วลงแช่ในอ่างน้ำยานี้  ประมาณ 5 นาที  สีจริงจะปรากฏออกมา  นำไปล้างน้ำให้สะอาดจนหมดกรด  แล้วตากให้แห้ง  นำไปเขียนเทียนเพื่อย้อมสีอื่นต่อไปได้

ค.  การย้อมสี Reactive
     วิธีเตรียมน้ำย้อม  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า  =  20 (L) : 1 (Kg)
                สี Reactive                                               1 - 5    % ของน้ำหนักผ้า
                โซดาแอส                                              10 – 15  กรัม/ลิตร
                เกลือ                                                       50 – 70  กรัม/ลิตร
                ยูเรีย (Urea)                                               1       กรัม/ลิตร
ละลายสีด้วยน้ำอุ่น 50 - 60 องศาเซลเซียล  ใส่เกลือลงไป  เติมน้ำเย็นให้ครบจำนวน ใส่ยูเรียแล้วเอาผ้าลงย้อมนานประมาณ 15 นาที แบ่งโซดาแอสเป็น 2 ส่วน เติมส่วนแรกลงไปนานทิ้งไว้ 10 นาที   จึงเติมส่วนที่สองแล้วย้อมต่ออีก 30 – 60 นาที ตามความเข้มของสีที่ต้องการ  เอาขึ้นซักล้างน้ำจนหมดสี  ตากให้แห้ง  การย้อมสี Reactive เป็นสีแรกจะได้สีอ่อน  สีต่อไปอาจเปลี่ยนไปใช้สี Azoic หรือ Vat  เพื่อจะได้สีเข้มขึ้นตามต้องการ

ง.  การย้อมสี Azoic  แบ่งวิธีการย้อมออกเป็น 2 ขั้น คือ
                1.  ย้อมแน๊พทอล หรือ การย้อมสีพื้น
                2.  ย้อมสีเกลือ (Fast Color Salt)  ขั้นการทำให้เกิดสี
     การย้อมแน๊พทอล (ย้อมสีพื้น)  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า   =    20 : 1
                                                                สีเข้ม                      สีอ่อน
                Naphtol AS                          5 - 6                         0.5     กรัม/ลิตร
                น้ำมันแดง (Turkey Red Oil)     ใส่กวนพอให้ผงแน๊พทอลเป็นแป้งเปียก
                โซดาไฟ 38 องศา                12 - 15                      6       กรัม/ลิตร
เกลือแกง                               20                           15       กรัม/ลิตร
                (หมายเหตุ  แน๊พทอล แต่ละตัวถึงแม้จะใช้ปริมาณเท่ากัน  จะให้ความเข้มของสีออกมาไม่เท่ากัน  บางตัวต้องใช้มากถึง 10 กรัม/ลิตร  บางตัวใช้เพียง  1 กรัม/ลิตร ก็พอ  ให้ศึกษารายละเอียด ของแน๊พทอลแต่ละตัวจากคู่มือแนะนำโดยเฉพาะ)
                แน๊พทอลไม่ละลายในน้ำ  ต้องทำให้เปียกด้วยน้ำมันแดง  แล้วเติมโซดาไฟทีละน้อยจนกระทั่งแน๊พทอลเกิดเปลี่ยนแปลง  คือ เปลี่ยนสีจากน้ำข้นๆ เกาะจับกันเป็นก้อนพรุน  เติมน้ำร้อนลงไปประมาณ 2 เท่า  ก็จะกลายเป็นน้ำใส  แล้วเติมน้ำเย็นจนครบจำนวน ละลายเกลือและเติมโซดาไฟที่เหลือลงไปให้หมด  ย้อมที่อุณหภูมิห้อง  ประมาณ 15 นาที แล้วเอาขึ้นให้สะเด็ดน้ำโดยไม่ต้องบิด  นำไปย้อมเกลือสีต่อไป
     การย้อมเกลือสี    ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า   =    20 : 1
                เกลือสี                                    10 – 30  กรัม/ลิตร สำหรับสีเข้ม  
                  5  - 10  กรัม/ลิตร สำหรับสีอ่อน
ละลายเกลือสีด้วยน้ำอุ่น  เติมน้ำให้ครบจำนวน  แล้วนำผ้าที่ย้อมแน๊พทอลแล้วลงย้อมเกลือสีที่ละลายแล้วในอุณหภูมิห้อง ประมาณ 10 – 15 นาที  แล้วเอาขึ้นซักน้ำให้สะอาด  ตากให้แห้งเพื่อจะเขียนเทียนต่อไป  ถ้าย้อมสีนี้เป็นสีสุดท้ายของการทำปาเต๊ะ  จะต้องต้มสบู่ให้สะอาดจริงๆ  เพราะเป็นสีที่ทนต่อการขัดถูต่ำมาก

;;

By :
Free Blog Templates