28 มีนาคม 2557

การทำผ้า “ปาเต๊ะ” (Batik)


คำว่า  ปาเต๊ะ เป็นภาษาชวา ใช้เรียกผ้าย้อมสีชนิดหนึ่ง  ที่รวมเอาศิลปะทางด้านฝีมือและเทคนิคทางการย้อมสีเข้าด้วยกัน  ตามหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏว่า  มีการทำผ้าปาเต๊ะมาประมาณ 2,000 ปี  แหล่งกำนิดของศิลปะพื้นเมืองโบราณนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด  หลักฐานที่พบ  ไม่เฉพาะแต่ในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น  ยังพบในญี่ปุ่นและแอฟริกาด้วย 


ในระหว่างศตวรรษที่  16 และ 17  ผู้หญิงในตระกูลสูงของอินโดนีเซียเป็นผู้ริเริ่มทำผ้าปาเต๊ะด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามหลายแบบขึ้น  ใช้สำหรับชายหญิงชาวอินโดนีเซีย  ต่อจากนั้นชาวดัชท์ก็นำผ้าปาเต๊ะจากชวาไปแพร่หลายยังทวีปยุโรป  ศิลปะการทำผ้าปาเต๊ะของชวาที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีก็คือ  โสร่งปาเต๊ะ และ การทำผ้าปาเต๊ะได้กลายเป็นเทคนิคทางหัตถกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนศิลปะอย่างอื่น

การทำผ้าปาเต๊ะ อาศัยเทคนิคง่ายๆ  คือ  การกันสีด้วยเทียนโดยการเขียน หรือ พิมพ์เป็นลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้าในส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีย้อม  เมื่อนำไปย้อมสีก็จะติดเฉพาะส่วนที่ไม่ลงเทียนไว้  และติดซึมไปตามรอยแตกของเทียน  เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตาอันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าปาเต๊ะ

ผ้าปาเต๊ะนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด  เช่น  เครื่องนุ่งห่ม  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ  เน็คไท  ผ้าปูโต๊ะ  ผ้าม่าน  ผ้าคลุมเตียง และ อื่นๆ

สำหรับเมืองไทย  การทำผ้าปาเต๊ะ  โดยวิธีการพิมพ์ลวดลายผ้าด้วยเทียนบนผืนผ้าเป็นอุตสาหกรรมกันมานานแล้วแถบภาคใต้  เช่น  ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ฯลฯ  กองอุตสาหกรรมสิ่งทอ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนส่งเสริมให้อาชีพการทำผ้าปาเต๊ะแพร่หลายยิ่งขึ้น  จึงได้ดำเนินการอบรมการทำผ้าปาเต๊ะให้แก่ผู้สนใจ

วัสดุและการเตรียม
1.  วัสดุที่ใช้ในการทำผ้าปาเต๊ะ 
-  ผ้าฝ้าย  ลินิน  วิสโคส และ ไหม  เป็นชนิดของผ้าที่นำมาทำผ้าปาเต๊ะได้   เส้นใยผ้าเหล่านี้สามารถย้อมติดสีที่ใช้กรรมวิธีย้อมเย็นได้ดี  เพราะที่ต้องใช้กรรมวิธีย้อมเย็น (อุณหภูมิไม่เกิน 35 องศา เพราะ เทียนมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก  ถ้าย้อมอุณหภูมิสูง  เทียนก็จะละลายหลุดออกจากผ้าขาดคุณสมบัติกันสีตามที่ต้องการไป)  ผ้าที่ใช้ต้องไม่หนาจนเกินไป  เพื่อให้เทียนสามารถซึมผ่านทะลุถึงอีกด้านหนึ่ง  และจะได้ลวดลายผ้าปาเต๊ะที่สวยงาม   ถ้าจำเป็นต้องใช้ผ้าหนาเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม  ก็ต้องลงเทียนทั้งสองหน้า  ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองทียนมาก   ผ้าที่เหมาะในการทำผ้าปาเต๊ะ  เช่น ผ้าฝ้ายมัสลิน ผ้าซันเฟอร์ไรท์  ผ้าลินินริมเขียว ผ้าไปมชนิดเนื้อบาง
-  เทียน(wax)  ใช้สำหรับเขียนหรือพิมพ์ลวยลายบนผืนผ้าเพื่อกันสีย้อมได้  เทียนได้มาจากการผสมของขี้ผึ้ง (Bee Wax) และ พาราฟิน (Parafin Wax)  ในอัตราส่วนที่พอเหมาะที่จะให้เกิดรอยแตกของลายมากน้อยตามต้องการ  ขี้ผึ้งเป็นตัวทำให้เหนียวเกาะจับผ้าดี  แต่เกิดรอยแตกยาก  ส่วนพาราฟินจะทำให้เทียนเปราะมีรอยแตก หากผสมมาก ก็จะเกิดรอยแตกมาก  บางทีจะผสมยางสนและไขมันสัตว์ลงไป  ช่วยให้เทียนเปราะง่ายขึ้น
-  กรอบไม้ (Frame)  เป็นโครงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือ ผืนผ้า  สำหรับขึงผ้าเวลาเขียนลาย  มีขนาดความกว้างยาวตามความกว้างยาวของชิ้นผ้าที่จะทำผ้าปาเต๊ะ  ควรทำด้วยไม้เนื้ออ่อน (ขนาด 1 ½ - 2” จำนวน 2 ชุด)  เพื่อใช้เปิดยึดผ้าและดึงออกได้สะดวก และกรอบไม้ควรทำให้สามารถปรับขนาดความกว้างยาวตามชิ้นงานต่างๆ กันได้
-   โต๊ะพิมพ์ลาย  เป็นโต๊ะที่ใช้พิมพ์ลายเทียนด้วยบล็อก หรือสเตนซิล (Stencil)  ปูด้วยกาบกล้วย เพื่อไม่ให้เทียนติดโต๊ะพิมพ์
-  เครื่องมือสำหรับเขียนลวดลาย  มี พู่กันไม้ หรือ ปากกาทำด้วยทองเหลือง มีช่องทางให้น้ำเทียนไหลออก และมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเขียนเทียนโดยเฉพาะเรียกว่า  ซ่านติ้ง (Tjanting)  มีลักษณะเป็นกาเล็กๆ ทำด้วยทองเหลือง มีพวยและที่จับ
-  สีย้อม  เป็นสีประเภทย้อมเย็น  ได้แก่  Vat Dyes, Solubilised Vat Dyes, Reactive Dyes, Azoic Dyes.

2.  การเตรียมวัสดุก่อนการลงมือทำ
-  การเตรียมผ้า  ผ้าที่จะนำมาใช้ทำปาเต๊ะ  จำเป็นต้องขจัดสิ่งสกปรกและสารที่เคลือบแต่งอยู่บนผิวหน้า  เช่น แป้ง  สารตกแต่งความขาว (Optical Brightener)  เป็นต้น ออกให้หมดก่อน  เพื่อให้เทียนซึมผ่านได้สะดวก และให้สีย้อมติดผ้าดีไม่ด่าง  โดยวิธีการ Souring  คือ ต้มโซดา (Soda Boiling)  ซึ่งมีสารเคมีพวกโซดาแอส  โซดาไฟ และสบู่เทียน (Wetting Agent) สำหรับผ้าฝ้ายและลินิน  (แต่ผ้าไหมใช้เพียง โซดาแอส  และสบู่เทียน)  โดยต้มที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  ใช้สัดส่วนของสารเคมีดังต่อไปนี้ 
โซดาแอส                              1 กรัม/ลิตร
โซดาไฟ                                1 กรัม/ลิตร (เฉพาะผ้าฝ้ายและลินิน)
สบู่เทียน                                1 กรัม/ลิตร
เสร็จแล้วซักน้ำสะอาด  ตากแห้ง  และรีดให้เรียบ  เพื่อเตรียมไว้เขียนและพิมพ์ลายด้วยเทียนต่อไป

-  การเตรียมน้ำเทียน  น้ำเทียนที่จะใช้ เขียนหรือพิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้า  ใช้อัตราส่วนผสม (โดยน้ำหนัก)  ของขี้ผึ้งและพาราฟิน ระหว่าง 1 : 4  เป็นอย่างต่ำ จนถึง 1 : 12 เป็นอย่างสูง  อัตราส่วนของพาราฟินที่มากขึ้นช่วยให้เกิดรอยแตกของเทียนบนผ้าได้มากขึ้น จะผสมในอัตราส่วนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ  แล้วนำไปตั้งไฟที่ร้อนพอประมาณ (ควรระวังอย่างมาก  ถ้าไฟร้อนจัดมากอาจเกิดการลุกไหม้เป็นอันตรายได้)  จนน้ำเทียนหลอมเหลวหมดมีอุณหภูมิประมาณ 120 – 140 องศาเซลเซียล  ไม่ควรให้น้ำเทียนร้อนมากกว่านี้  เพราะจะทำให้เทียนซึมกระจายไปตามเส้นใยผ้า  ไม่เกาะตัวเป็นลวดลายลงผ้าตามที่ต้องการ  และไม่ควรให้น้ำเทียนเย็นเกินไปเพราะเทียนจะแข็งเกาะติด  อุดช่องเครื่องมือเครื่องเขียนหรือพิมพ์ลวดลาย  ทำให้การเขียนลายลำบาก ไม่สม่ำเสมอ  และไม่ติดผ้าเวลาย้อมสี  เทียนจะหลุดออกมา  ไม่ได้ลวดลายตามต้องการ  จึงควรมีเตาไฟอ่อนๆ อุ่นเทียนอยู่เสมอ  เพื่อรักษาอุณหภูมิของน้ำเทียนให้อยู่ในระดับใช้งานได้

-  การเตรียมน้ำย้อมสี  การย้อมสีแต่ละประเภทใช้สารเคมีประกอบในการเตรียมน้ำย้อมแตกต่างกันออกไป  (ดูเรื่องกรรมวิธีการย้อมสี)  ซึ่งจะมีสารเคมีจำพวกกรดหรือด่างปนอยู่ด้วย  กรดและด่างจะทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆ  ดังนั้นไม่ควรใช้อ่างย้อมที่ทำด้วยโลหะพวก  เหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง สังกะสี เพราะจะทำให้เกิดการผุกร่อนของโลหะ เกิดสนิมเปื้อนติดผ้า  ทำให้สีผ้าที่ย้อมเปลี่ยนไปได้  ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะที่เคลือบบผิวแล้ว หรือ ภาชนะดินเผาเคลือบ ดีที่สุด  ขนาดของภาชนะควรมีความกว้างมากกว่าความสูง  เพื่อให้ผ้าที่ย้อมแผ่กระจายติดสีได้สม่ำเสมอ  เช่น ชามอ่างหรือกะละมัง ฯลฯ

3.  การเตรียมลายผ้าปาเต๊ะ
-  วิธีการออกแบบลายผ้า  ขั้นแรกผู้ออกแบบต้องรู้ก่อนว่าผ้าที่จะนำมาเขียนนั้น  จะนำไปทำอะไร เช่น  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ ผ้าม่าน ฯลฯ  แล้วจึงออกแบบให้เหมาะสมได้สัดส่วนต่อพื้นที่และขนาด  
สำหรับผู้ออกแบบที่ยังไม่ชำนาญ  ควรหัดร่างลายลงบนกระดาษขาวก่อนหลายๆ ลาย  แล้วเลือกลายที่ชอบลอกลงบนผ้าด้วยดินสอดำ
ปาเต๊ะที่นิยมโดยทั่วไป  เป็นปาเต๊ะที่ทำด้วยฝีมือจึงจะถือว่าเป็นศิลปะและน่าภูมิใจมากกว่า  ปาเต๊ะที่พิมพ์ด้วยเครื่อง  เพราะลายในการเขียนผ้าแต่ละผืนย่อมไม่เหมือนกัน  ช่องไฟไม่เท่ากัน  อยู่ที่ผู้ออกแบบลายจะมีความสามารถและมองเห็นความงามของลายที่เขียนได้มากน้อยแค่ไหน
-  ขนาดของลายที่จะเขียนลงบนผ้าลักษณะต่างๆ   การออกแบบไม่จำเป็นที่จะต้องออกลายละเอียดจนเกินไปเพราะจะยากในการลงเทียน  ควรออกแบบลายให้ช่องไฟห่างพอสมควร  ให้คำนึงถึงผ้าที่จะนำไป ใช้ประโยชน์และให้สัมพันธ์กับลายด้วย  เช่น  ผ้าเช็ดหน้า ออกแบบลายตรงกลางของผ้าหรือมุมผ้า  ลายมีขนาดพอดี  อาจจะเป็นลายเส้นทรงเลขาคณิต หรือ ลายเส้นที่อ่อนไหว เช่น ดอกไม้  แล้วแต่ถนัด
การออกแบบลายผ้าคลุมผม  ก็มีลักษณะเดียวกับผ้าเช็ดหน้า  จะต่างกันก็ตรงขนาดของผ้าและขนาดของลาย คือ ลายจะต้องขยายใหญ่ขึ้นตามอัตรส่วนของผ้า
การออกแบบลายผ้าตัดเสื้อ  ส่วนมากลายผ้ามักจะแตกต่างไปจากลายผ้าเช็ดหน้าและผ้าคลุมผม  มีการออกแบบได้ 2 ลักษณะ คือ ลายซ้ำๆ หรือ ลายเชิง  และ ตลอดทั้งผืน ลายไม่เหมือนกันเลย  อยู่ที่ความประสงค์ของผู้ออกแบบว่าจะเน้นให้สวยงามไปในด้านไหน  เมื่อนำมาสวมใส่
การออกแบบลายซ้ำ (Repetition) คือ การออกแบบลายครั้งเดียวเป็นกลุ่มๆ แล้วเขียนลายซ้ำๆ กันจนหมดผืนผ้า  แต่การเขียนลายชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเขียนบนผ้าปาเต๊ะ  เพราะยากในการเขียนที่จะให้ช่องไฟเท่ากันไปตลอด  และเมื่อเสร็จแล้วมันไม่ค่อยสวยงามและมองดูคล้ายๆ ผ้าพิมพ์
การเขียนลายเชิง หรือ ลายที่ไม่เหมือนกันตลอดทั้งผืนนั้น  ก่อนออกแบบลายมักจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนเกี่ยวกับการจะนำไปตัดเป็นชุดว่า  เมื่อออกแบบลายอย่างนี้มาเท่านี้  เมื่อตัดตามลายแล้วผ้าจะพอไหม  เมื่อคิดดีแล้วก็เขียนลายไปตามความพอใจ  มักจะเขียนแบบ Free Hand คือ ไม่ต้องร่างลายลงบนผ้าเสียก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ เราต้องรู้อยู่เสมอว่าลายของผ้าปาเต๊ะอย่างเดียวนั้นไม่ได้ทำให้ผ้าสวยงามสมบูรณ์  ต้องใช้สีย้อมประกอบด้วยเป็นอย่างมาก  เพราะสีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจควบคู่กันไปกับลาย
ผ้าม่านก็มีลักษณะคล้ายผ้าตัดเสื้อ  แต่ผ้าม่านเรามักจะใช้ลายใหญ่ๆ  เพราะไม่ต้องคำนึงถึงการต่อลายเหมือนเวลาเขียนผ้าตัดเสื้อ
-          การลงลวดลายด้วยเทียนบนผืนผ้า  อาจทำได้ 3 แบบ ด้วยกันคือ
ก.  การเขียนลงบนผืนผ้าตามลวดลายที่ลอกลงไว้ด้วยดินสอดำเป็นลักษณะ Free Hand Drawing  หรือ ถ้าชำนาญในการเขียนลวดลายมากพอ  ก็เขียนเทียนเป็นลวดลายบนผืนผ้าเลย  โดยใช้พู่กัน หรือ ซานติ้ง  แล้วแต่ขนาดของเส้นและลวดลายที่ต้องการใช้  การใช้ซานติ้ง จะกำหนดลวดลายเส้นใหญ่เล็กได้ตามความต้องการ  โดยใช้กาที่มีรูพวยขนาดต่างๆ กัน
ข.  การใช้บล็อกพิมพ์เทียนลงบนผ้า  บล็อกที่ใช้ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง หรือ สังกะสี และมีที่จับ  ตัวบล็อกแกะเป็นลวดลายต่างๆ  วิธีนี้จะได้ลวดลายผ้าที่สม่ำเสมอตลอดผืนผ้า
ค.  การใช้สเตนซิล  ที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสีขาว  ที่มีลวดลายละเอียดสวยงามและสามารถที่จะทำลวดลายบนผ้าเหมือนๆ กันได้เป็นชุด หลาย ๆ ผืน  สเตนซิลแผ่นหนึ่งจะใช้ลงเทียนได้ 40 – 50 ครั้ง

4.  การย้อมสีผ้าปาเต๊ะ
 -  อิทธิพลของสีที่มีต่อผ้า  สีที่ใช้กันก็มักจะเป็นประเภทสีกลมกลืน  อาจเป็นโทนร้อนหรือเย็นก็ได้  หรือสีคนละโทนนำมาผสมกันที่รียกว่า สีตัดกัน (contrast)  แล้วแต่รสนิยมของผู้ทำ  และต้องถูกกับสภาพ แวดล้อมที่ปาเต๊ะนั้นๆ จะไปปรากฏอยู่ด้วย
สีของผ้าปาเต๊ะที่นิยมทำกันมีได้ตั้งแต่ 1, 2, 3 สี แล้วแต่ความต้องการของผู้ออกแบบ 
ก .  การใช้สีเดียว คือ เขียนลวดลายด้วยเทียนแล้วนำไปย้อม  ควรจะเป็นสีเข้ม  จะทำให้เห็นลวดลายได้เด่นชัดสวยงาม
ข.  การใช้สี 2 สี  คือ เขียน Outline เสรร็จแล้วนำไปย้อมครั้งที่ 1 ควรจะใช้สีอ่อน  เสร็จแล้วผึ่งจนแห้ง   นำมากลบเทียนเพื่อเก็บสีแรกที่เราต้องการไว้  แล้วนำไปย้อมสีที่เข้มกว่าอีกครั้งหนึ่ง
ค.  การใช้สี 3 สี  คือ  มีวิธีการเหมือนกับย้อม 2 สี ผิดกันแต่ว่า  เมื่อย้อมสีที่ 2 แล้ว ต้องนำมากลบเทียนเก็บสีที่ 2  ที่เราต้องการไว้อีก แล้วนำไปย้อมสีอีกหนหนึ่ง  ครั้งสุดท้ายจะต้องเป็นสีที่เข้มมาก  เพื่อสี 2 สี ที่แล้วจะได้เห็นเด่นชัด  การย้อมสี 3 สีนี้เป็นการเสียเวลามาก
ถ้าเราต้องการสีมากกว่านี้  ต้องคำนึงถึงลวดลายที่เขียนด้วยเทียนว่าเทียนยังติดเนื้อผ้าดีอยู่หรือเปล่า   ส่วนมากไม่นิยมทำหลายสีจนเกินไป เพราะทำให้ได้สีไม่สวย

5.  กรรมวิธีขั้นสุดท้ายของการทำผ้าปาเต๊ะ
-  การลอกเทียน  เมื่อย้อมได้ลวดลายผ้าตามต้องการแล้ว  ขั้นต่อไปคือ การลอกเทียนออกจากผ้า  ซึ่งทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
ก.  ต้ม  วิธีนี้ดีที่สุด คือ ใช้น้ำร้อนลวกเทียนจนเกือบหมด  แล้วจึงเอาลงต้มในอ่างน้ำร้อนที่มีสบู่จนเทียนหลุดออกหมด
ข.  รีด  วางผ้าปาเต๊ะที่จะลอกเทียนลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ หลายๆ ชั้น และทับต่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายๆ ชั้น  รีดบนกระดาษไปมาจนกระทั่งเทียนซึมติดหนังสือพิมพ์  วิธีการนี้เทียนอาจจะเปื้อนเป็นขอบรอบลายผ้า  จะขจัดรอยเปื้อนได้โดยใช้น้ำละลาย (Cleaning Salvent)  แต่ถ้าเป็นผ้าที่ย้อมด้วยสี  จะใช้น้ำยานี้ไม่ได้   จะต้องนำไปต้มต่อด้วยสบู่
ค.  ใช้น้ำยา (Cleaning Salvent)  เหมาะสำหรับสถานที่แคบ ไม่สามารถลอกเทียนได้  ใช้สารละลายพวกแอลกอฮอล์หรือน้ำยาซักแห้งพวกเบนซิน หรือ เตตราคลอไรด์  แต่สารเหล่านี้เป็นสารติดไฟ   เวลาใช้ควรระวังไม่ให้ใกล้ไฟ  สารละลายเหล่านี้เมื่อใช้แล้วเก็บไว้ใช้ครั้งต่อๆไปได้  นำผ้าที่ลอกเทียนแล้วไปซักอีกที
-  การทำความสะอาดผ้าและตกแต่งขั้นสุดท้าย   หลังจากลอกเทียนออกจากผ้าปาเต๊ะที่ย้อมสีเสร็จด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว  จำเป็นต้องทำความสะอาดผ้าให้เทียนและสีที่เกาะอยู่หลวมๆ ตามผิวผ้าหมดไป  พร้อมทั้งตกแต่งเป็นขั้นสุดท้าย  เพื่อคุณภาพที่ดีของผ้าปาเต๊ะที่ผลิตออกมา  คือ มีความนุ่มนวลในการสัมผัส  ไม่ตกสี เมื่อซักฟอกตามปกติหลังจากการใช้  (การซักให้สีติดทน  โดยผสมน้ำส้มสายชู + ซันไลต์  แช่ผ้าลงไปสักครู่ใหญ่  แล้วซักปกติ) 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

By :
Free Blog Templates