01 กรกฎาคม 2558

หลังจากแนะนำวิธีการออมแบบหม่ามี่ไปแล้ว  มีคำถามจากเพื่อนๆ มามากมาย ข้อถือโอกาสนี้ตอบข้อซักถามฉบับหม่ามี๋ (ที่เคยทำ และทำมาตลอด) เป็นข้อๆ นะคะ


1.     ทำไม่ได้ ภาระมากมาย ค่าใช้จ่ายตามก้นมาติดๆ

ตอบ :  งั้นลองคิดกลับไปดูเล่นๆ นะคะ ถ้าทำตามใจตัวเองตอนนี้ และไม่มีเงินเก็บเลย หรือน้อยมาก พอแก่ตัวลงจะทำไง ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ไม่มีคนดูแล ไม่มีเงินสำรองไว้กินไว้ใช้ จะอยู่อย่างไร จะลำบากแค่ไหน  พอแก่ตัวลง นอกจากค่าอาหารแล้ว ยังมีค่าสุขภาพอีก 

            เมื่อสิบปีที่แล้ว ใช้เดือนละ 5000 บาทอยู่ได้ ปัจจุบันอย่างน้อยต้องมีเงินใช้เดือนละหมื่นถึงอยู่ได้ แล้วอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าหล่ะ คิดว่าต้องใช้เงินค่ากินค่าอยู่อีกอย่างน้อยเท่าไร  คิดแค่นี้ก็ดูหน้ากลัวแล้ว

            ถ้าไม่เก็บออมตอนที่ยังมีแรงแล้วจะทำตอนไหนล่ะคะ


      2.     ถ้าใช้เกินวงเงินที่กำหนดไว้ ทำไง

ตอบ :  ลงโทษตัวเองค่ะ สมมติวงเงินที่กำหนดไว้ใช้เดือนละ 6900 บาท แต่เดือนนี้เราใช้ 7000 บาท เดือนหน้าเราก็ต้องใช้ให้พอในวงเงิน 6800 บาท (หักไปหนี่งร้อยบาทที่ใช้เกินเมื่อเดือนก่อน เสมือนเราไปยืมเงินอนาคตมาใช้)  วิธีนี้สำหรับหม่ามี๋ มันเป็นการเตือนตัวเองค่ะว่าให้ระมัดระวังในการใช้เงินให้มากขึ้นกว่านี้  หม่ามี๋จะไม่มีทางเอาเงินเก็บมาใช้เด็ดขาด บอกแล้วว่าเงินเก็บให้ทำเสมือนไม่มีเงินก้อนนี้อยู่ ลืมๆไปเลย
 

3.     เงินเก็บฝากประจำ หรือ ลงทุนหมดไม่ได้ ต้องกันไว้เผื่อฉุกเฉิน ในบัญชีออมทรัพย์

ตอบ :  งั้นลองถามตัวเอง หรือกลับไปมองดูปีที่แล้ว ห้าปีที่แล้ว สิบปีที่แล้วดูนะคะว่า ได้นำเงินก้อนนี้ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจริงแค่ไหน เท่าไร หลายๆครั้ง จะเห็นว่าแทบจะไม่ได้ใช้เลย แล้วจะเก็บในบัญชีออมทรัพย์ด้วยดอกเบี้ยห้าสิบสตางค์ทำไม สู้โยกไปฝากประจำดอกเบี้ย 3-4% หรือลงทุนแบบอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าไม่ดีหรือ ดอกเบี้ยที่ได้ก็นำไปฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบพิเศษ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1-2.3% เพื่อสำรองเป็นเงินฉุกเฉินก็ได้

            หากย้อนกลับไปดู พบว่ามีเหตุต้องใช้จริง เท่าไรล่ะคะ งั้นกันเงินจำนวนนั้นไว้สำรองฉุกเฉิน แล้วนำเงินที่เหลือไปลงทุนดีกว่ามั๊ยเอ่ย

            หรือลองสำรวงจตัวเองดูนะคะว่า ตัวเองวางแผนการใช้เงินในอนาคตอย่างไร จะซื้อบ้าน ซื้อเมื่อไร อีกกี่ปีถึงจะซื้อ สมมติว่าจะซื้ออีกห้าปีข้างหน้า ก็นำเงินไปลงทุนที่กำหนดว่าอีกห้าปีข้างหน้าจะได้เงินต้นกลับมา แค่นี้คุณก็ได้ทั้งต้นทั้งดอกแล้วค่ะ 

            วิธีการมีอีกเยอะแยะ ลองค่อยๆคิด แล้วลงมือทำเลยนะคะ ไม่ใช่แต่คิดแล้วไม่ทำ ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ
 

4.     ถ้าจะเงินเดือนเยอะ ถึงเก็บเงินได้มาก

ตอบ :  หม่ามี๋เริ่มต้นทำงานที่เงินเดือน 4000 บาทค่ะ เท่าเงินเดือนที่รัฐบาลกำหนดสำหรับเด็กจบใหม่ และไม่เคยเรียกร้องเงินเดือนสูงๆ ค่ะ  ตอนนั้นใช้แค่ 10% ของเงินเดือนเท่านั้น ทำไมทำได้ เพราะทำงานใกล้บ้านค่ะ เดินไปทำงานไม่เสียค่ารถ ทำงานหนักไม่มีเวลาส่วนตัว, ก็ไม่มีเวลาช็อปปิ้ง ก้อเลยประหยัดค่าแต่งตัว กลับบ้านกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน ถึงแม้ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืน (555 ประหยัดค่าข้าวเย็น ข้าวเช้าไม่มีเวลากิน แค่ตื่นทันไปทำงานก็เก่งแล้ว)  ไม่ได้บอกว่าให้ทำตามนะคะ  คุณปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น ไม่ต้องประหยัดถึงขนาดนี้ก็ได้

            บางคนอาจจะว่า มีพ่อแม่ ลูกเต้าต้องดูแล เงินทั้งนั้น ถูกค่ะ แต่อย่างลืมว่ามันมีวิธีประหยัดตั้งหลายอย่าง คิดง่ายๆ มีเงินเก็บดีกว่าไม่มี มีมากดีกว่ามีน้อย เคยขึ้นรถแอร์ไปทำงาน ลองเปลี่ยนเป็นรถร้อนดูบ้าง ทำทุกวันไม่ไหวไม่ชิน ทำวันเว้นวันก็ได้ เคยกินข้าวมื้อละร้อยเป็นอย่างต่ำ ลองกินข้าวแกงข้างทาง 25-50 บาทดูบ้างค่ะ

            หม่ามี๋ไม่มองว่าพรุ่งนี้จะมีกินไหม จะเป็นยังไง แต่จะมองไปข้างหน้าไกลๆ เป็นระยะๆค่ะ ว่าอนาคตตัวเองในอีกห้าปีข้างหน้า อีกสิบปี อีกยี่สิบปี จะทำอะไร จะใช้ชีวิตอย่างไร จะเป็นอยู่อย่างไร หม่ามี๋ต้องการความมั่นคงให้กับชีวิตค่ะ

 
5.      เก็บเงินเก่งจัง คิดได้ไง ทำได้ไง

ตอบ :  คำตอบนี้คงต้องบอกว่า มาจากพื้นฐานของครอบครัว แม่สอนให้ประหยัดตั้งแต่เด็ก อะไรก็ไม่จำเป็น มันเลยเคยชินที่จะเก็บเป็นเงินหรือสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าได้ และด้วยความคิดต่อต้านประเพณีจีนหัวเก่าที่ว่า ผู้ชายอยู่หน้าบ้าน ผู้หญิงอยู่หลังบ้าน (คงงง ก็ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้าน แต่งงาน ดูแลสามีและลูก แบมือขอ อยู่ภายคำสั่ง มองดูเหมือนอนาคตของผู้หญิงมีรูปแบบเดียวไงไม่รู้) หม่ามี๋ไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ หม่ามี๋อยากมีอิสระ ออกความคิดได้ ตัดสินใจทำอะไรๆด้วยตัวเองได้ มีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็เลยคิดและทำมาตั้งแต่เด็กค่ะ


6.     ขอขยายนิ๊ดสส เรื่องวิธีการใช้เงินค่ะ  

ตอบ :  บางคนยังย้ำค่ะว่า ค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย ทำไงดี  งั้นลองทำวิธีนี้ดูนะคะ

ลงรายละเอียดใช้จ่ายในแต่ละวันดู พอครบเดือน มาสรุปค่าใช้จ่ายดูโดยแยกเป็นหมวดหมู่ตามความจำเป็นจริง ไม่จำเป็นเท่าไร มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  

-         ตามความจำเป็นจริง เช่น ค่าอาหารค่ารถ ค่าสังคม ค่าดูแลครอบครัว

-         ไม่จำเป็นเท่าไร หรือ มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร เช่น ค่าเสื้อผ้าเครื่องประดับ

-         ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ก็อย่างเช่น ของซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ทิ้งไว้เฉยๆ

ตามความจำเป็นจริง - ค่าสังคม ค่าดูแลครอบครัว น่าจะขยับไม่ได้เนอะ ส่วนค่าอาหารค่ารถ น่าจะพอขยับหรือเลือกได้ ไม่ได้บอกว่าจะต้องบีบให้ใช้ถูกสุด ประหยัดสุด คนเรามีความอยาก เข้าใจค่ะ แต่เราต้องคอยควบคุมความอยากนั้นไม่ให้มากเกินไป แค่นี้ก็ลดค่าใช้จ่ายได้แล้ว

ไม่จำเป็นเท่าไร หรือ มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ความอยากไม่เข้าใครออกใครค่ะ หม่ามี๋ก็อยากได้เหมือนกัน บางทีตอนซื้ออยากได้มาก พอเอากลับมาที่บ้าน ใช้ครั้งเดียวแล้วก็ไม่เหลียวแลมันอีกเลยก็มี และแล้วหม่ามี๋ก็ค้นพบวิธีค่ะ คือ ให้คิดถึงความจำเป็นก่อนค่ะ ว่าจำเป็นมั๊ย ของที่มีอยู่พอทดแทนกันได้หรือเปล่า ถ้าคำตอบว่ามี, หันหลังแล้วเดินกลับเลยค่ะ ไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าเห็นแล้วอยากได้มาก ลองหยุดตัวเองก่อน ยืนมองนานๆ แล้วหันหลังกลับ เดินไปเลยค่ะ ดูอย่างอื่นต่อ กลับบ้าน วันรุ่งขึ้น คิดดูว่ายังอยากได้อีกหรือเปล่า กลับไปดูใหม่แล้วสังเกตตัวเองว่าความอยากลดลงหรือเปล่า ทำอย่างนี้ซักสามครั้งนะคะ ถ้าความอยากยังมีอยู่ ซื้อเลยค่ะ อย่างน้อยก็ลดแรงกดดันให้กับตัวเอง เป็นของขวัญเป็นรางวัลให้กับชีวิต แต่ส่วนใหญ่เชื่อเถอะค่ะว่าไม่ได้ซื้อหรอก ความอยากลดลงและหายไปเอง

ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ อันนี้ก็สื่อความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ตัดไปเถอะค่ะ

เห็นมั๊ยเอ่ยว่า ถ้าจะเก็บออมจริงก็ทำได้


7.      เคล็ดลับอีกอย่างของหม่ามี๋ ในการออม

หม่ามี๋ไม่เก็บเงินในรูปแบบเดียวหรอกนะคะ แต่ก็ยอมรับว่าตัวเองหาเงินไม่ค่อยเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เป็นแต่เก็บค่ะ ตามหลักเศรษฐศาสตร์กล่าวไว้ว่า ไม่ควรเก็บเงินทั้งหมดในที่เดียวกันเพราะมีความเสี่ยง เลยเชื่อตามนั้นและกระจายเงินไปในหลายรูปแบบ เช่น ซื้อประกันชีวิตแบบประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ฝากธนาคาร ซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร ทอง ฯลฯ เหตุผลมีอยู่นะคะ มันเกื้อหนุนกันอยู่ ถ้าให้อธิบายยาวๆ ปวดหัวค่ะ ช่างมันเถอะ

หม่ามี๋ไม่เอาเงินเก็บเงินลงทุนมาใช้จ่าย แต่ถือเสมือนว่าเป็นต้นทุนที่ไม่สมควรให้ลดน้อยลง จะใช้เฉพาะดอกผลที่ได้จากการลงทุนเท่านั้น ถ้าให้ดีไม่ใช้หมดแต่สะสมดอกผลนั้นด้วยได้จะดีมาก ฟังดูเหมือนงกเนอะ แต่อย่าลืมค่าเงินมันลดลงทุกวัน มีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยลง

อ่า...เคยได้ยินมาว่า เก็บไปทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ไม่ได้ใช้อยู่ดี งั้นถามหน่อยว่า เรารู้วันตายของตัวเองหรือเปล่า แล้วช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ จะอยู่อย่างไร ตายไป, ที่เหลืออยู่ก็ให้พ่อแม่ลูกหลานที่ยังอยู่ได้ใช้ต่อ จะเป็นไรไปค่ะ

น่าจะครบถ้วนแล้วนะคะ แต่ถ้าคิดอะไรได้อีก จะนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อดทนอ่านจนจบค่ะ


ลวดลายที่ออกแบบมาเพื่อใช้พิมพ์ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่

1.  ลวดลายตกแต่ง (Decorative Motif)
2.  ระบบการจัดงานลาย (System or Pattern of Arrangement)

การนำเอารูปแบบหรือวัตถุใดๆ มาเป็นแนวคิดในการออกแบบไม่มีขอบเขตจำกัด  รูปแบบตามธรรมชาติหรือรูปแบบประดิษฐ์  หรือแนวความคิดดัดแปลงมาจากรูปทรงเรขาคณิต สิ่งเหล่านี้บางครั้งจะจำกัดขีดความสามารถของนักออกแบบที่ไม่สามารถแสดงความคิดการออกแบบมาได้อย่างเต็มที่  อย่างไรก็ตาม, วัตถุประสงค์ของนักออกแบบย่อมต้องการ การออกแบบที่ดี สามารถประยุกต์ใช้ในแบบต่างๆ ที่ตนออกแบบไว้

 
เมื่อวิเคราะห์ลวดลายเท่าที่นักออกแบบได้กระทำกันมาแล้วนั้น  สามารถจัดแบ่งลวดลายออกเป็น 5 หมู่  ประกอบด้วย

1.  ลายดอกไม้ (Floral)  รวมถึงส่วนอื่นๆ ของพืช  เช่น ใบ ผล ราก

2.  ลายสัตว์ (Animal)  ได้แก่  สัตว์ทุกประเภท รวมถึง คน และ ส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์  ให้ความรู้สึกของความมีชีวิตชีวา  หรือ น่ารัก น่าใช้

3.   ลายเรขาคณิต (Geometric)  ลายที่นำเอารูปทรงในหลักเรขาคณิตทั้งหมด  เช่น เส้น  รูปทรงกลม  สามเหลี่ยม หรือ สี่เหลี่ยม  มาจัดรวมกันให้เป็นรูปต่างๆ

4.  ลายสมัยใหม่ (Abstract)  เป็นลวดลายที่มีลักษณะคล้ายคลึงรูปทรงเรขาคณิตแต่ไม่ใช่  บางครั้งอาจชักจูงให้เกิดแนวความคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้  เป็นลวดลายที่บางครั้งจะดูเลื่อนลอยไร้ความหมาย

5.  ลายภาพของจริง (Objective or Scenery)  เป็นภาพวิว  เครื่องจักร อาคาร การจราจร  คน สัตว์ หรือ สิ่งของ  บางครั้งจะดัดแปลงจนเกือบดูไม่ออกว่าภาพของจริงคืออะไร

ระบบการวางลาย  หมายความถึง  การจัดวางรูปแบบลวดลายที่ได้ออกแบบไว้แล้วลงในผืนผ้าให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย  แบ่งออกเป็น 2 ระบบ

1.  ระบบเนื้อที่จำกัด  รวมทั้งลายเฉพาะบริเวณริมหรือเชิงผ้า  ลายที่อยู่ในวงกรอบจำกัด หรือ อาจเรียกง่ายๆ ว่า ลายเฉพาะแห่ง (Spot Design)  ซึ่งหมายถึง ต้องมีเนื้อที่ลวดลายน้อยกว่าเนื้อที่พื้น  มีข้อยกเว้นบางประการที่ควรระวังเหมือนกันคือ ถ้าลายนั้นมีส่วนต่อเนื่องกัน อาจจะไม่เรียกว่า ลายเฉพาะแห่งได้

2.  ระบบเนื้อที่ไม่จำกัด  หมายถึงลวดลายที่กระจายเต็มผืนผ้า (All-Over)  มีจังหวะซ้อนหมุนเวียนไปตามความยาวความยาวของผ้าไม่มีที่สิ้นสุด  อาจเป็นหน่วยเดียว-ลายเดียว หรือ รวมกันเป็นหมวดหมู่ หรือ เป็นเส้นยาวต่อเนื่องกัน เช่น ลายทาง

การออกแบบที่มีแนวความคิดมาจากธรรมชาติ  เช่น ดอกไม้ ผลไม้ หรือ สัตว์  หรือ แม้แต่ภาพคลื่นในทะเล หาดทราย ราวตากผ้า กลุ่มเมฆ หรือ ฝนตก เหล่านี้นำมาเป็นส่วนตกแต่งได้ทั้งสิ้น  วัสดุหรือภาพธรรมชาติเหล่านี้  มีรายละเอียดมากจนกระทั่งไม่สามารถนำมาเป็นแบบได้  จำเป็นต้องดัดแปลงปรับปรุงให้ง่ายขึ้น  ตัดรายละเอียดบางประการออกไป  ทำให้แบบที่ออกมานั้น ดูสวยงามน่าใช้ขึ้น  นักออกแบบมักพูดว่า การออกแบบให้เหมือนธรรมชาติยิ่งมากเท่าใดก็จะยิ่งผิดมากขึ้นเท่านั้น  ดังนั้นนักออกแบบจึงได้จัดเรียงลำดับลักษณะของแบบที่นำมาจัดทำลวดลายได้เป็น 3 ขั้น คือ

1.  ภาพของจริง  (Realistic or Full Details)

2.  ภาพกึ่งของจริง (Stylized or Semi-Details)

3.  ภาพรูปทรง  (Extremely Stylized or Form)

การออกแบบต้องอาศัยคุณลักษณะส่วนตัวของนักออกแบบมาประกอบด้วย  มิใช่ผู้ที่วาดเขียนเป็น  รู้จักหลักการออกแบบแล้วจะทำได้ทุกคน  รสนิยมส่วนตัว แนวความคิด และ ความจัดเจนในงาน  จะทำให้ลวดลายเหมาะสำหรับการใช้งาน ใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์

การออกแบบลายธรรมชาติ

รูปแบบธรรมชาติหมายความถึงบรรดาสิ่งที่เกิดอยู่แล้วตามธรรมชาติ  ได้แก่ พืชและสัตว์ชนิดต่างๆ  ซึ่งได้ใช้เป็นแบบกันมานานนับศตวรรษ  บางกลุ่มไม่นิยมแบบธรรมชาตินัก  กลับไปนิยมแบบเรขาคณิตแทน  บางครั้งจึงเป็นการยากที่จะแยกแบบธรรมชาติออกจากแบบเรขาคณิตโดยเด็ดขาด  ในลวดลายบางอย่างใช้ปะปนกันอยู่  แต่จะทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด  คือ ให้พิจารณาความหมายของแบบนั้นๆ  เช่น  การออกแบบตัวสัตว์โดยใช้รูปแบบเรขาคณิตต่างๆ มาต่อกันเข้า  ดูเป็นตัวสัตว์ที่น่ารักได้  รูปแบบธรรมชาติที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิต  หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ  เช่น ทะเล สวนดอกไม้ กลุ่มเมฆ อาจจะต้องดัดแปลงหรือต่อเติมบ้างเล็กน้อยเพื่อใช้เป็นลายพิมพ์ได้

บางครั้งนักออกแบบจะนำธรรมชาติมาออกแบบดัดแปลงให้สวยงามมากกว่าเดิม หรือแปลกประหลาดออกไป  แต่ต้องพึงระวังไม่ตกแต่งให้มากจนเกินไป จะทำให้น่าเกลียดมากกว่า  นักออกแบบที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นผู้ที่ดัดแปลงแบบธรรมชาติให้ออกมาดูง่ายและตกแต่งให้ดูสวยงามกว่าเดิม

ตัวอย่างการออกแบบธรรมชาติให้สวยงามมากกว่าเดิม เช่น  ฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 13 ออกแบบสำหรับทอผ้าไหมยกดอก  ใช้ ดอก ผล ใบและอื่นๆ ของต้นพืชมารวมกัน โดยดัดแปลงส่วนปลายของริมใบ ใบ หรือดอกผลให้โค้งงอ บางครั้งดูคล้ายนำลายกนกของไทยมาต่อเติม ใช้ลวดลายขนาดใหญ่ แล้วแยกออกตกแต่งภายในให้เป็นกลุ่มลายเล็กๆ รวมกัน 


การเป็นนักออกแบบที่ดีต้องสามารถออกแบบลายให้เป็นลายของตนเองได้  การได้ดูแบบลายต่างๆ ตั้งแต่ของโบราณ ประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน จะก่อให้เกิดแนวความคิดใหม่ๆ พัฒนาในแนวความคิดของตนเอง คิดเสมอว่า แบบธรรมชาตินั้นต้องไม่ปกติ  ถึงแม้ว่าความจริงมันจะปกติก็ตาม สังเกตได้จากงานออกแบบในอดีต ลายธรรมชาติปกติมักจะไม่ดึงดูดสายตาเท่ากับลายธรรมชาติที่ไม่ปกติ


หลักการออกแบบบางประการอาจเห็นได้ง่ายๆ ในธรรมชาติ บางครั้งนำมาใช้เป็นแบบลายได้ทันที บางครั้งก็ต้องนำมาตกแต่งก่อน  เช่น การแสดงความเจริญเติบโตของธรรมชาติ หรือเส้นต่างๆ ที่ลากออกไปจากจุดๆ เดียวกัน หรือออกแต่เพียงข้างเดียว  แบบธรรมชาติที่มีสัดส่วนที่ดีและถูกต้องไม่ว่าจะเป็นในด้านพื้นที่ ความโค้งงอ หรือเส้นต่างๆ ก็สามารถทำให้ได้งานออกแบบที่สวยงามได้ 

การออกแบบลายเรขาคณิต

ความจริงการออกแบบโดยใช้รูปเรขาคณิตควรนับเป็นการออกแบบหลักเบื้องต้น ลวดลายใดๆ ก็ตามจะประกอบด้วยแบบที่ซ้ำๆ หมุนเวียนกันไปไม่สิ้นสุด หรืออาจเป็นกลุ่ม  รูปเรขาคณิตแต่ละรูปหรือที่สามารถ จับกลุ่มรวมกันได้ ทำให้ได้ลวดลายต่างๆ นับไม่ถ้วนแบบ


ลักษณะลายเรขาคณิตที่นำมาใช้กันมากที่สุด  ได้แก่

1.       จุด (point)  ในขณะที่ศึกษาเรขาคณิตว่า จุดไม่มีเนื้อที่  แต่เมื่อนำมาใช้ในการออกแบบ ขนาดจะใหญ่ขึ้น มีเนื้อที่เห็นได้ชัด  บางครั้งอาจเปลี่ยนลักษณะเป็นรูปต่างๆ ได้ดังภาพ
2.       เส้น (line) อาจเป็นเส้นตรงแนวตั้ง แนวนอน แนวเฉียง เส้นโค้งหรือโก่งงอ ถ้านำเส้นเหล่านั้นมาต่อกันเข้าก็จะได้รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น เส้นตรงที่นำมาต่อกันเป็นมุมหักคม, เส้นซิกแซก  กล่าวกันว่า เป็นลักษณะของอารมณ์ที่อ่อนไหว และถ้าไม่ออกแบบด้วยความระมัดระวัง ลักษณะเหล่านี้จะทำให้จังหวะ ความกลมกลืน หรือเอกภาพของลายนั้นเสียไป

 
เมื่อนำเอาเส้นตรงกับเส้นตรงมาใช้รวมกันเป็นรูปเส้นต่อกัน เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้ง เส้นตรงเหล่านั้นก่อให้เกิดภาพลวงตาได้ 

และถ้าเขียนแบบต่างๆ กัน จะเห็นเป็นอีกแบบต่างหาก
                                        

เส้นโค้งงออย่างต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดจะให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน สุภาพและนุ่มนวล  เส้นโค้งแบบเดียวกัน เพียงแต่โค้งออกจะดูมีเนื้อมากกว่าที่โค้งเข้า

            วงกลม (circle)  มีเนื้อที่ล้อมรอบด้วยเส้นโค้งวงรอบมาบรรจบกัน เรียกว่า เส้นรอบวง (silhouette) เส้นตรงที่ลากจากจุดศูนย์กลางของวงกลมมาเส้นรอบวง เรียกว่า เส้นรัศมี  และเส้นตรงที่ลากจากเส้นรอบวงผ่านจุดศูนย์กลาง เรียกว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง
 

            รูปรี (ellipse)  นิยมใช้ในการออกแบบมาก ส่วนใหญ่เป็นแนวนอน 

 
            รูปไข่ (oval) มีลักษณะเหมือนไข่คือหัวท้ายไม่เท่ากัน อยู่ในแนวตั้ง  แตกต่างจากรูปรี เพราะรูปรีด้านหัวและด้านท้ายเท่ากัน


            มุม (angle)  เป็นรูปที่เกิดจากเส้นตรงสองเส้นลากมาพบกันที่ปลาย  เกิดเป็นมุมแบบต่างๆ ที่กำหนดไว้ คือ มุมฉาก มุมแหลม และมุมป้าน การแบ่งครึ่งมุมดำเนินแบบเดียวกันกับแบ่งครึ่งเส้นโค้ง  อย่างไรก็ตาม, เราไม่ค่อยพบในการออกแบบลายผ้า เพราะจะดูแข็งเกินไป


            รูปเหลี่ยม (square)  มุมมีหลายแบบ เมื่อนำมารวมกันทำให้เกิดรูปเหลี่ยมแบบต่างๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม และอื่นๆ แต่ละรูปเหลี่ยมยังแตกต่างกันออกไปตามความยาวของเส้นด้านข้างและขนาดของมุมที่เกิดขึ้น 


            รูปเส้นโค้ง (curve) เมื่อนำมารวมกันจะได้แบบที่นำไปประกอบเป็นลวดลายได้หลายแบบ เช่นลายกนกของไทยเป็นตัวอย่างที่ดี

 
            การออกแบบลายเรขาคณิต ควรต้องระวังให้ทุกรูปแบบที่ซ้ำๆ กันในวงจรของลายให้มีขนาดต่างๆ เท่ากันและสมดุล จึงจะดูสวยงาม  ถ้าจะใช้หลักเกณฑ์อื่นมาช่วย ต้องอย่าให้มากเกินไป


การออกแบบลายอื่นๆ

เช่น แบบของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องดนตรี วัตถุสังเคราะห์บางอย่าง ภาพ อาวุธ เครื่องประดับตกแต่ง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มักจะมีรูปร่างหรือรายละเอียดค่อนข้างจะพอเหมาะอยู่แล้ว  อาจตกแต่งเพิ่มเติมหรือดัดแปลงเมื่อนำมาใช้ได้ 


เครื่องหมายที่ใช้แทนสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตลอดจนภาพสมัยใหม่ต่างๆ ใช้เป็นแบบตกแต่งได้ดี   การออกแบบสมัยใหม่ (abstract) และภาพลายของจริง (objective) เป็นการยากที่จะแนะนำว่า ควรออกแบบหรือตกแต่งอย่างไร การใช้แบบทั้งสองชนิดนี้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ออกแบบลวดลายต่างๆ มาใช้สำหรับพิมพ์ผ้าได้นั้น ขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ออกแบบเท่านั้น


การออกแบบมีขอบจำกัด

การออกแบบมีขอบจำกัดหมายความถึงแบบลวดลายตกแต่งนั้นมีเส้นรอบวงลวดลายจำกัดไว้  เช่น ลวดลายกระเบื้องปูพื้น พรม และผ้าแถบต่างๆ ลายขอบ (border) ลักษณะของลวดลายเป็นลายที่มีขอบจำกัดเนื้อที่และขนาด


ลายที่มีขอบจำกัดเนื้อที่นี้ บางครั้งจะออกแบบลายจากจุดศูนย์กลางตามขวางแล้วค่อยๆกระจายลายออกไปหาขอบ บางครั้งอาจแบ่งเนื้อที่ออกเป็นส่วนๆ แล้วตั้งต้นออกแบบจากขอบเข้าหาจุดศูนย์กลาง  แบบลวดลายมีขอบนี้ดัดแปลงไปได้หลายอย่าง อาจเป็นลายที่แบ่งเป็นส่วนๆ ซ้ำๆ กัน หรือตลอดเนื้อที่ในขอบนั้นไม่ซ้ำกันเลยก็ได้ วงขอบจำกัดเนื้อที่จะเป็นรูปใดๆก็ได้


ถ้าพิจารณาอย่างกว้างๆ อาจคิดว่า ผ้าลายไทยนั้น เป็นการออกแบบที่มีขอบจำกัด แต่ความเป็นจริงแล้ว ผ้าลายไทยเป็นลวดลายซึ่งดัดแปลงมาจากลายกนกเดิมของไทย แต่เพื่อเน้นให้เห็นถึงรูปร่างที่แท้จริงของลาย จึงได้เพิ่มขอบเข้าไปในภายหลัง ซึ่งจะสังเกตความแตกต่างได้ง่ายมาก เพราะเส้นขอบรอบวงจะเป็นสีดำเสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่แตกต่างออกไป


[Border Design คือ ริม (ลายขอบ) เช่น Black Border คือ ริมผ้าที่เป็นสีดำ หรือ ขอบกุ้นสีดำ ]


การออกแบบลายแถบและริม

ลายแถบและริมจะเป็นแนวยาว อาจเป็นลายง่ายๆ ตามแบบโบราณ หรือ พลิกแพลงอย่างสวยงาม นิยมใช้กันมาก ลายแถบทุกชนิดจะเป็นลายริมไม่ได้ 


ลายริมหมายความถึงลายที่กำหนดให้อยู่ด้านนอกสุดของวัสดุที่ตกแต่งเป็นกั้นเขตไว้ภายใน ส่วยลายริมนั้นไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่ริมเสมอไป อาจขนานกันไปหลายๆแถบจนเต็มพื้นที่ ที่ต้องการก็ได้  ลายแถบและลายริมต้องไม่กว้างจนเกินไป แต่ไม่กำหนดความยาว ขึ้นอยู่กับว่า ถ้าเป็นลายริมจะเอาไปล้อมรอบสิ่งใดไว้ ส่วนลายแถบนั้นจะนำไปใช้ประโยชน์นี้อย่างใด


ลายริมอาจเป็นเพียงเส้นๆ เดียวรอบวงไว้หรือเป็นเส้นขนานหลายๆเส้น มักจะมีมุมอ้อมวกมาล้อมขอบสิ่งที่อยู่ภายใน การออกแบบตรงมุมวกกลับมักจะทำง่ายๆ แบบซ้ำกับลายริมเดิมในระยะสั้นๆ ลายริมจะต่อเนื่องกันเป็นเส้นยาวตลอดแนวที่ต้องการ  ลายริมจะต้องมีการเน้น ลักษณะตรงกันข้าม จังหวะความสมดุล ความแตกต่างและคุณค่าเหล่านี้ให้สัมพันธ์กัน ลายริมจะต้องมีสัดส่วนที่พอเหมาะกับเนื้อที่ลวดลายที่ไปล้อมรอบอยู่

ลายริมไม่ควรตกแต่งประดับประดามากจนเกินไปหรือไปแข่งขันกับลวดลายภายใน ซึ่งจะกลายเป็นการทำลายเอกภาพของลวดลายนั้นๆ การจำแนกลักษณะของลายริม วิธีที่ง่ายที่สุด คือ

1.       เส้นตรง เช่น เส้นตรง เส้นขนาน ลายประแจจีน ลายซิกแซก ลายหัวมุมแบบบั้งนายสิบ ฯลฯ

2.       เส้นโค้ง เช่น โค้งเป็นลูกคลื่น ลายเส้นโค้ง ลายบิดเกลียว ลายลูกโซ่ ลายเกลียวแบบตะปูควง

3.       ลายเส้นผสม ได้แก่ การนำเอาลายเส้นแบบต่างๆ กันมาผสมดัดแปลงเป็นรูปลายใหม่ๆ

 
การออกแบบลายแถบสามารถใช้ในการออกแบบสำหรับพิมพ์ริบบิ้น หรือดัดแปลงเป็นลายทอผ้าแถบเล็กๆ

ลายเฉพาะแห่งและการวางลาย

การออกแบบลายเฉพาะแห่งหรือลายจุด หมายถึงลายที่มีเป็นแห่งๆ กระจัดกระจายทั่วไป เป็นลวดลายตกแต่งที่ใช้กันมากเฉพาะวัตถุที่มีความต่อเนื่องโดยไม่จำกัด เช่น ผ้าและกระดาษ

บรรดาผ้าพิมพ์ที่มีจำหน่ายในขณะนี้สามารถจำแนกลวดลายออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

1.       ลายเฉพาะแห่งหรือลายจุด ลวดลายแบบนี้ไม่ได้กำหนดว่า จะต้องมีขนาดเล็กใหญ่มากเท่าใด หรือเป็นลวดลายอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อาจเป็นหลายๆอย่างรวมกันก็ได้ จัดวางห่างกันเป็นระยะๆ แล้วแต่ความต้องการ  ลายเฉพาะแห่งจะต้องมีขนาดเนื้อที่เป็นพื้นมากกว่าที่เป็นลวดลายทั้งหมดรวมกัน

2.       ลายเต็ม (all-over design) หมายความถึง ลวดลายที่กระจัดกระจายเต็มตลอดเนื้อที่ ที่ต้องการตกแต่ง แบบลวดลายที่แผ่กว้างเต็มตามหน้ากว้างของผ้าและต่อเนื่องไปตามความยาวของผ้าโดยไม่มีที่สิ้นสุด อาจนิยามสั้นๆ ได้ว่า ลายประเภทนี้จะต้องมีเนื้อที่ลายมากกว่าเนื้อที่ว่างของผืนผ้า


ลวดลายที่ออกแบบนี้ย่อมมีขนาดจำกัด ต้องทำซ้ำๆ กันเป็นช่วงๆ หมุนเวียนกันจนกว่าจะครบ ลายที่ทำซ้ำๆ กันเรียกว่า วงจรของลาย (repeat) ขนาดของวงจรไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับความคิดในการออกแบบ, ความกว้างของกรอบสกรีน, เส้นรอบวงของลูกกลิ้งลาย แล้วแต่ว่าจะพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์แบบใด การออกแบบต้องให้มีวงจรลายครบรอบพอดี ไม่เกิดรอยต่อในระหว่างสกรีนต่อสกรีน


ลวดลายที่ออกแบบมานั้นจะใช้ได้สวยงาม มีผู้นิยมหรือไม่ ส่วนหนึ่งขึ้นกับระบบการจัดวางลวดลาย  จังหวะที่วางแต่ละช่วง แบบลวดลายที่ดีจำเป็นต้องควบคุมวางลวดลายซ้ำๆ กันให้มีระเบียบและกำหนดขนาดให้พอดี 


ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เทคนิคการพิมพ์เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ได้มาจากช่างเทคนิคของแบนด์ดังแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการใช้สี  คือลายเดียวกัน ใช้บล็อกสกรีนเดียวกันสีเดียวกัน (แต่หลายบล็อกหลายสี โดยให้ลายบนบล็อกคาบเกี่ยวเหลื่อมล้ำกัน)็อก็็ ให้กำหนดลงสี 1-2-3-4 สลับต่างกันไป น้ำหนักในการลงต่างกัน ก็จะได้ลวดลายของสี/สีผสม/น้ำหนักสีต่างกันออกไป ดู สวยงามแปลกตา เช่น ผืนแรก สกรีนสี แดง-เขียว-เหลือง-ฟ้า   ผืนสอง สกรีนสี เขียว-เหลือง-ฟ้า-แดง  ผืนสาม สกรีนสี เขียว-ฟ้า-แดง-เหลือง  ลวดลายจะได้สีแปลกแตกต่างออกไปในแต่ละผืน


 

พอเรียนจบปีแรกก็ได้ซื้อประกันเลยค่ะ จากเงินเดือนปีแรกของตัวเอง ตอนนั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอก แต่ได้เรียนรู้จากสมุดประกันฉบับแรกนั้น อ่านรายละเอียด ผลประโยชน์ และคิดแบบลองผิดลองถูกจากผลประโยชน์ที่จะได้รับ และนำมาเปรียบเทียบหากเอาเงินที่ต้องจ่ายค่าประกันมาฝากธนาคาร อย่างไหนได้ผลประโยชน์ดีกว่ากัน เรียกได้ว่าเปรียบเทียบลงรายละเอียดกันเลยทีเดียว


สรุปเลยนะคะ

ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ เป็นการลงทุนแบบซื้อความเสี่ยงให้ตัวเอง หากต้องนอนโรงพยาบาลก็ไม่ต้องใช้เงินก้อนโต ประกันเค้ารับผิดชอบไปส่วนหนึ่งในวงเงินที่เราทำ (เวลาคนมาขายประกัน เค้าจะพูดแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น อย่างเช่นว่า ไม่สบายไปหาหมอ เราไม่ต้องจ่าย ประกันดูแลให้ แต่เค้าไม่พูดว่า ดูแลให้แค่ไหนเท่าไร เราก็ไม่รู้ จนกว่าจะเกิดขึ้นจริงให้ได้ศึกษา)  เป็นเงินที่เราต้องจ่ายแบบศูนย์เปล่าในแต่ละปี และสัญญาจะเป็นแบบปีต่อปีด้วย บริษัทประกันมีสิทธิ์ไม่รับต่อสัญญาหรือเพิ่มเบี้ยประกันในปีต่อไปหากเรามีการเคลม (เหมือนประกันรถยนต์)

ประกันชีวิตแบบประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ   เราต้องจ่ายมากกว่าแบบแรกเพราะพ่วงประกันชีวิตไว้ด้วย ซึ่งก็มีหลายรูปแบบ หลายเงื่อนไขแล้วแต่เราเลือก ปัจจุบันหม่ามี๋ทำแบบ จ่าย 20ปี คุ้มครองชีวิตตลอดชีพ (แค่ชีวิตนะคะ ไม่เกี่ยวกับสุขภาพและอุบัติเหตุ ซึ่งจำกัดระยะเวลาคุ้มครอง) ในวงเงิน 300,000 บาท ถ้าจ่ายตลอดครบ 20 ปี ต้องจ่ายทั้งหมดประมาณ 400,000 กว่าบาท ค่ะ  สามแสนบาทนี่เราไม่ได้ใช้หรอกนะคะ ผู้รับผลประโยชน์ได้ไปค่ะ ประกันแบบนี้บริษัทประกันไม่มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญากลางคัน แต่..ดูรายละเอียดในสัญญาดีๆนะคะ มันมีเงื่อนไขบางอย่างอยู่ เรานำไปลดหย่อนภาษีได้ 10,000 บาท

ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ (ที่นำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000บาทต่อปี) เมื่อ 15 ปีก่อน จ่ายเบี้ยอยู่ที่ ประมาณ 11% ของวงเงิน  5ปีให้หลัง หากจะซื้อฉบับใหม่เบี้ยประกันอยู่ที่ประมาณ 12-13%  ปัจจุบันไม่รู้เหมือนกันว่าค่าเบี้ยประกันเป็นเท่าไรแล้ว  หม่ามี๋ซื้อเมื่อ 15ปีก่อน ถ้าเปรียบเทียบผลประโยชน์เป็นตัวเงินเม็ดต่อเม็ดเลยนะคะ ว่าถ้าเอาเงินที่จ่ายค่าประกันมาฝากธนาคารแทน ดอกเบี้ยจะอยู่ที่เท่าไร ก็อยู่ที่ประมาณ 4% กว่าๆ ค่ะ (ไม่รวมเงินที่เราได้ลดหย่อนภาษีในแต่ละปีอีกนะคะ)  หากซื้อประกันตัวนี้ ณ.ราคาปัจจุบัน ก็น่าจะเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นหลัก ส่วนเงินที่จ่ายค่าประกันมาคำนวนเปรียบเทียบกับนำมาฝากธนาคารแทน คิดเล่นๆ ดอกเบี้ยน่าจะอยู่แค่ประมาณ 1% เท่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม, หม่ามี๋ก็เห็นประโยชน์ของการลงทุนแบบนี้  ว่าเหมาะกับคนที่เก็บเงินไม่ค่อยอยู่คะ เป็นการบังคับตัวเองให้ออมเงินไปในตัว  พอครบสัญญาเราก็จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย เป็นเงินเก็บไว้ใช้จ่ายยามเกษียณค่ะzz

ความคิดเห็นส่วนตัวเล็กๆ มักจะมีคนบอกว่าฝากประกันได้ลดหย่อนภาษีสูงสุดหนึ่งแสนบาท หากฐานภาษีอยู่ที่ 10% เท่ากับดอกเบี้ยเงินฝาก 10% เชียว ดีกว่าฝากธนาคารอีก แต่หม่ามี๋คิดต่างกันออกไปค่ะ คือว่า 10%ของการลดหย่อนภาษี นี่เป็นอัตราคงที่ ยังไงก็ได้แค่หมื่นเดียวทุกปี แต่ฝากธนาคารแบบไม่ถอนเลยปีละแสน ดอกเบี้ยมันจะทวีคูณ คิดจากดอกเบี้ยเงินฝาก 2% ปีแรกได้ดอกเบี้ย 2000, ปีต่อมา 4000,…, ครบปีที่ 20 ได้ดอกเบี้ย 40,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝากรวมครบ 20ปี = 420,000 บาท ขณะที่ ภาษีคืนทั้งหมด = 200,000 บาท  (ถ้าฐานภาษีอยู่ที่ 20% ขึ้นไปก็คุ้มอยู่นะคะ) หากมีคนเก่งคำนวนมาอ่านตรงจุดนี้, คงจะมีข้อกังขาอยู่ว่าไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะยังไม่ได้หักภาษีเงินฝาก 15%, เงื่อนไขในการคำนวณไม่ครบถูกต้องทั้งหมดในสภาวะเงื่อนไขเดียวกัน และ บลาๆๆ  หม่ามี๋ขี้เกียจค่ะ เอาแค่คร่าวๆก็พอ  บอกแล้วว่านี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเล็กๆ  

การซื้อประกันก็มีอยู่หลายบริษัทให้เลือกนะคะ  วิธีการเลือกของหม่ามี๋คือ ให้คนขายส่งรายละเอียดมาให้เราพิจารณาดูก่อนล่วงหน้าค่ะ  ทั้งค่าประกัน รายละเอียด และผลประโยชน์ ถ้ามาพูดเดี๋ยวนั้นแล้วให้ตัดสินใจเดี๋ยวนั้น หรือวิธีการขายผ่านโทรศัพท์แล้วให้ตัดสินใจเลยทันที  ไม่เอาแล้วค่ะ เคยซื้อแล้วและพอมาพิจารณาอีกทีภายหลัง ผลปรากฏว่า ไม่ใช่อย่างที่ต้องการ และด้วยระยะเวลาจำกัด ทำให้เราตัดสินใจพลาดได้ง่าย  เสียเงินโดยใช่เหตุ (ย้ำค่ะว่าคนขายประกันจะพูดแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่บอกเงื่อนไขทั้งหมดจนกว่าเราจะได้อ่านเอกสารเอาเอง )

การซื้อประกันก็เหมือนการซื้อความไว้เนื้อเชื่อใจ เราควรจะดูความเชื่อมั่นและความมั่นคงของแต่ละบริษัทก่อนตัดสินใจ หากเราซื้อกับคนขายประกันที่ดี เวลาที่มีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ คนขายประกันเขาจะได้ช่วยดำเนินเรื่องให้  ไม่เช่นนั้น เราอาจจะต้องเสียเวลาในการติดต่อและไม่ได้รับความสะดวกสบายในการดำเนินเรื่อง

มาถึงตรงนี้ คงมีคนงงกันบ้างว่าตกลง คุ้มหรือไม่คุ้ม ดีหรือไม่ดี แล้วแต่จะพิจารณาค่ะ สำหรับหม่ามี๋แล้วถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงในอนาคตค่ะ ลองพิจารณากันนะคะว่าการซื้อประกันจำเป็นหรือดีสำหรับคุณหร

;;

By :
Free Blog Templates