01 กรกฎาคม 2558
ลวดลายที่ออกแบบมาเพื่อใช้พิมพ์
ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน ได้แก่
1. ลวดลายตกแต่ง (Decorative Motif)
2. ระบบการจัดงานลาย (System or Pattern of Arrangement)
การนำเอารูปแบบหรือวัตถุใดๆ
มาเป็นแนวคิดในการออกแบบไม่มีขอบเขตจำกัด รูปแบบตามธรรมชาติหรือรูปแบบประดิษฐ์ หรือแนวความคิดดัดแปลงมาจากรูปทรงเรขาคณิต
สิ่งเหล่านี้บางครั้งจะจำกัดขีดความสามารถของนักออกแบบที่ไม่สามารถแสดงความคิดการออกแบบมาได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม,
วัตถุประสงค์ของนักออกแบบย่อมต้องการ การออกแบบที่ดี สามารถประยุกต์ใช้ในแบบต่างๆ
ที่ตนออกแบบไว้
เมื่อวิเคราะห์ลวดลายเท่าที่นักออกแบบได้กระทำกันมาแล้วนั้น สามารถจัดแบ่งลวดลายออกเป็น 5 หมู่
ประกอบด้วย
1. ลายดอกไม้ (Floral) รวมถึงส่วนอื่นๆ ของพืช เช่น ใบ ผล ราก
2. ลายสัตว์ (Animal) ได้แก่
สัตว์ทุกประเภท รวมถึง คน และ ส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ ให้ความรู้สึกของความมีชีวิตชีวา หรือ น่ารัก น่าใช้
3. ลายเรขาคณิต (Geometric)
ลายที่นำเอารูปทรงในหลักเรขาคณิตทั้งหมด
เช่น เส้น รูปทรงกลม สามเหลี่ยม หรือ สี่เหลี่ยม มาจัดรวมกันให้เป็นรูปต่างๆ
4. ลายสมัยใหม่ (Abstract)
เป็นลวดลายที่มีลักษณะคล้ายคลึงรูปทรงเรขาคณิตแต่ไม่ใช่
บางครั้งอาจชักจูงให้เกิดแนวความคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้ เป็นลวดลายที่บางครั้งจะดูเลื่อนลอยไร้ความหมาย
5. ลายภาพของจริง (Objective or Scenery) เป็นภาพวิว
เครื่องจักร อาคาร การจราจร คน
สัตว์ หรือ สิ่งของ
บางครั้งจะดัดแปลงจนเกือบดูไม่ออกว่าภาพของจริงคืออะไร
ระบบการวางลาย หมายความถึง
การจัดวางรูปแบบลวดลายที่ได้ออกแบบไว้แล้วลงในผืนผ้าให้สวยงามและเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย แบ่งออกเป็น 2 ระบบ
1. ระบบเนื้อที่จำกัด รวมทั้งลายเฉพาะบริเวณริมหรือเชิงผ้า ลายที่อยู่ในวงกรอบจำกัด หรือ อาจเรียกง่ายๆ ว่า
ลายเฉพาะแห่ง (Spot Design) ซึ่งหมายถึง
ต้องมีเนื้อที่ลวดลายน้อยกว่าเนื้อที่พื้น
มีข้อยกเว้นบางประการที่ควรระวังเหมือนกันคือ ถ้าลายนั้นมีส่วนต่อเนื่องกัน
อาจจะไม่เรียกว่า ลายเฉพาะแห่งได้
2. ระบบเนื้อที่ไม่จำกัด หมายถึงลวดลายที่กระจายเต็มผืนผ้า (All-Over)
มีจังหวะซ้อนหมุนเวียนไปตามความยาวความยาวของผ้าไม่มีที่สิ้นสุด อาจเป็นหน่วยเดียว-ลายเดียว หรือ
รวมกันเป็นหมวดหมู่ หรือ เป็นเส้นยาวต่อเนื่องกัน เช่น ลายทาง
การออกแบบที่มีแนวความคิดมาจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ หรือ สัตว์ หรือ แม้แต่ภาพคลื่นในทะเล หาดทราย ราวตากผ้า
กลุ่มเมฆ หรือ ฝนตก เหล่านี้นำมาเป็นส่วนตกแต่งได้ทั้งสิ้น วัสดุหรือภาพธรรมชาติเหล่านี้
มีรายละเอียดมากจนกระทั่งไม่สามารถนำมาเป็นแบบได้ จำเป็นต้องดัดแปลงปรับปรุงให้ง่ายขึ้น ตัดรายละเอียดบางประการออกไป ทำให้แบบที่ออกมานั้น ดูสวยงามน่าใช้ขึ้น นักออกแบบมักพูดว่า
การออกแบบให้เหมือนธรรมชาติยิ่งมากเท่าใดก็จะยิ่งผิดมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นนักออกแบบจึงได้จัดเรียงลำดับลักษณะของแบบที่นำมาจัดทำลวดลายได้เป็น
3 ขั้น คือ
1. ภาพของจริง (Realistic or Full Details)
2. ภาพกึ่งของจริง (Stylized or Semi-Details)
3. ภาพรูปทรง
(Extremely Stylized
or Form)
การออกแบบต้องอาศัยคุณลักษณะส่วนตัวของนักออกแบบมาประกอบด้วย มิใช่ผู้ที่วาดเขียนเป็น รู้จักหลักการออกแบบแล้วจะทำได้ทุกคน รสนิยมส่วนตัว แนวความคิด และ
ความจัดเจนในงาน
จะทำให้ลวดลายเหมาะสำหรับการใช้งาน ใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์
การออกแบบลายธรรมชาติ
รูปแบบธรรมชาติหมายความถึงบรรดาสิ่งที่เกิดอยู่แล้วตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชและสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งได้ใช้เป็นแบบกันมานานนับศตวรรษ บางกลุ่มไม่นิยมแบบธรรมชาตินัก กลับไปนิยมแบบเรขาคณิตแทน
บางครั้งจึงเป็นการยากที่จะแยกแบบธรรมชาติออกจากแบบเรขาคณิตโดยเด็ดขาด ในลวดลายบางอย่างใช้ปะปนกันอยู่ แต่จะทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด คือ ให้พิจารณาความหมายของแบบนั้นๆ เช่น
การออกแบบตัวสัตว์โดยใช้รูปแบบเรขาคณิตต่างๆ มาต่อกันเข้า ดูเป็นตัวสัตว์ที่น่ารักได้
รูปแบบธรรมชาติที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวิต หรือปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ทะเล สวนดอกไม้ กลุ่มเมฆ
อาจจะต้องดัดแปลงหรือต่อเติมบ้างเล็กน้อยเพื่อใช้เป็นลายพิมพ์ได้
บางครั้งนักออกแบบจะนำธรรมชาติมาออกแบบดัดแปลงให้สวยงามมากกว่าเดิม
หรือแปลกประหลาดออกไป
แต่ต้องพึงระวังไม่ตกแต่งให้มากจนเกินไป จะทำให้น่าเกลียดมากกว่า นักออกแบบที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นผู้ที่ดัดแปลงแบบธรรมชาติให้ออกมาดูง่ายและตกแต่งให้ดูสวยงามกว่าเดิม
ตัวอย่างการออกแบบธรรมชาติให้สวยงามมากกว่าเดิม
เช่น ฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 13 ออกแบบสำหรับทอผ้าไหมยกดอก ใช้ ดอก ผล ใบและอื่นๆ ของต้นพืชมารวมกัน
โดยดัดแปลงส่วนปลายของริมใบ ใบ หรือดอกผลให้โค้งงอ
บางครั้งดูคล้ายนำลายกนกของไทยมาต่อเติม ใช้ลวดลายขนาดใหญ่
แล้วแยกออกตกแต่งภายในให้เป็นกลุ่มลายเล็กๆ รวมกัน
การเป็นนักออกแบบที่ดีต้องสามารถออกแบบลายให้เป็นลายของตนเองได้ การได้ดูแบบลายต่างๆ ตั้งแต่ของโบราณ
ประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน จะก่อให้เกิดแนวความคิดใหม่ๆ
พัฒนาในแนวความคิดของตนเอง คิดเสมอว่า แบบธรรมชาตินั้นต้องไม่ปกติ ถึงแม้ว่าความจริงมันจะปกติก็ตาม
สังเกตได้จากงานออกแบบในอดีต ลายธรรมชาติปกติมักจะไม่ดึงดูดสายตาเท่ากับลายธรรมชาติที่ไม่ปกติ
หลักการออกแบบบางประการอาจเห็นได้ง่ายๆ
ในธรรมชาติ บางครั้งนำมาใช้เป็นแบบลายได้ทันที บางครั้งก็ต้องนำมาตกแต่งก่อน เช่น การแสดงความเจริญเติบโตของธรรมชาติ
หรือเส้นต่างๆ ที่ลากออกไปจากจุดๆ เดียวกัน หรือออกแต่เพียงข้างเดียว
แบบธรรมชาติที่มีสัดส่วนที่ดีและถูกต้องไม่ว่าจะเป็นในด้านพื้นที่
ความโค้งงอ หรือเส้นต่างๆ ก็สามารถทำให้ได้งานออกแบบที่สวยงามได้
การออกแบบลายเรขาคณิต
ความจริงการออกแบบโดยใช้รูปเรขาคณิตควรนับเป็นการออกแบบหลักเบื้องต้น
ลวดลายใดๆ ก็ตามจะประกอบด้วยแบบที่ซ้ำๆ หมุนเวียนกันไปไม่สิ้นสุด
หรืออาจเป็นกลุ่ม
รูปเรขาคณิตแต่ละรูปหรือที่สามารถ จับกลุ่มรวมกันได้ ทำให้ได้ลวดลายต่างๆ
นับไม่ถ้วนแบบ
ลักษณะลายเรขาคณิตที่นำมาใช้กันมากที่สุด ได้แก่
1.
จุด (point) ในขณะที่ศึกษาเรขาคณิตว่า จุดไม่มีเนื้อที่ แต่เมื่อนำมาใช้ในการออกแบบ ขนาดจะใหญ่ขึ้น
มีเนื้อที่เห็นได้ชัด
บางครั้งอาจเปลี่ยนลักษณะเป็นรูปต่างๆ ได้ดังภาพ


2. เส้น (line) อาจเป็นเส้นตรงแนวตั้ง แนวนอน แนวเฉียง
เส้นโค้งหรือโก่งงอ ถ้านำเส้นเหล่านั้นมาต่อกันเข้าก็จะได้รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
เช่น เส้นตรงที่นำมาต่อกันเป็นมุมหักคม, เส้นซิกแซก กล่าวกันว่า เป็นลักษณะของอารมณ์ที่อ่อนไหว
และถ้าไม่ออกแบบด้วยความระมัดระวัง ลักษณะเหล่านี้จะทำให้จังหวะ ความกลมกลืน
หรือเอกภาพของลายนั้นเสียไป
เมื่อนำเอาเส้นตรงกับเส้นตรงมาใช้รวมกันเป็นรูปเส้นต่อกัน
เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้ง เส้นตรงเหล่านั้นก่อให้เกิดภาพลวงตาได้
และถ้าเขียนแบบต่างๆ กัน
จะเห็นเป็นอีกแบบต่างหาก
เส้นโค้งงออย่างต่อเนื่องกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดจะให้ความรู้สึกที่อ่อนโยน สุภาพและนุ่มนวล เส้นโค้งแบบเดียวกัน เพียงแต่โค้งออกจะดูมีเนื้อมากกว่าที่โค้งเข้า
วงกลม (circle) มีเนื้อที่ล้อมรอบด้วยเส้นโค้งวงรอบมาบรรจบกัน
เรียกว่า เส้นรอบวง (silhouette) เส้นตรงที่ลากจากจุดศูนย์กลางของวงกลมมาเส้นรอบวง เรียกว่า
เส้นรัศมี
และเส้นตรงที่ลากจากเส้นรอบวงผ่านจุดศูนย์กลาง เรียกว่า เส้นผ่าศูนย์กลาง
รูปรี (ellipse) นิยมใช้ในการออกแบบมาก ส่วนใหญ่เป็นแนวนอน
รูปไข่ (oval) มีลักษณะเหมือนไข่คือหัวท้ายไม่เท่ากัน
อยู่ในแนวตั้ง แตกต่างจากรูปรี
เพราะรูปรีด้านหัวและด้านท้ายเท่ากัน
มุม (angle) เป็นรูปที่เกิดจากเส้นตรงสองเส้นลากมาพบกันที่ปลาย เกิดเป็นมุมแบบต่างๆ ที่กำหนดไว้ คือ มุมฉาก
มุมแหลม และมุมป้าน การแบ่งครึ่งมุมดำเนินแบบเดียวกันกับแบ่งครึ่งเส้นโค้ง อย่างไรก็ตาม, เราไม่ค่อยพบในการออกแบบลายผ้า
เพราะจะดูแข็งเกินไป
รูปเหลี่ยม (square) มุมมีหลายแบบ
เมื่อนำมารวมกันทำให้เกิดรูปเหลี่ยมแบบต่างๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม
และอื่นๆ
แต่ละรูปเหลี่ยมยังแตกต่างกันออกไปตามความยาวของเส้นด้านข้างและขนาดของมุมที่เกิดขึ้น
รูปเส้นโค้ง (curve)
เมื่อนำมารวมกันจะได้แบบที่นำไปประกอบเป็นลวดลายได้หลายแบบ
เช่นลายกนกของไทยเป็นตัวอย่างที่ดี
การออกแบบลายเรขาคณิต ควรต้องระวังให้ทุกรูปแบบที่ซ้ำๆ
กันในวงจรของลายให้มีขนาดต่างๆ เท่ากันและสมดุล จึงจะดูสวยงาม ถ้าจะใช้หลักเกณฑ์อื่นมาช่วย
ต้องอย่าให้มากเกินไป
การออกแบบลายอื่นๆ
เช่น
แบบของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องดนตรี วัตถุสังเคราะห์บางอย่าง ภาพ อาวุธ
เครื่องประดับตกแต่ง ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้มักจะมีรูปร่างหรือรายละเอียดค่อนข้างจะพอเหมาะอยู่แล้ว อาจตกแต่งเพิ่มเติมหรือดัดแปลงเมื่อนำมาใช้ได้
เครื่องหมายที่ใช้แทนสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตลอดจนภาพสมัยใหม่ต่างๆ
ใช้เป็นแบบตกแต่งได้ดี การออกแบบสมัยใหม่
(abstract) และภาพลายของจริง (objective)
เป็นการยากที่จะแนะนำว่า ควรออกแบบหรือตกแต่งอย่างไร
การใช้แบบทั้งสองชนิดนี้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ออกแบบลวดลายต่างๆ
มาใช้สำหรับพิมพ์ผ้าได้นั้น ขึ้นอยู่กับทักษะของผู้ออกแบบเท่านั้น
การออกแบบมีขอบจำกัด
การออกแบบมีขอบจำกัดหมายความถึงแบบลวดลายตกแต่งนั้นมีเส้นรอบวงลวดลายจำกัดไว้ เช่น ลวดลายกระเบื้องปูพื้น พรม และผ้าแถบต่างๆ
ลายขอบ (border)
ลักษณะของลวดลายเป็นลายที่มีขอบจำกัดเนื้อที่และขนาด
ลายที่มีขอบจำกัดเนื้อที่นี้
บางครั้งจะออกแบบลายจากจุดศูนย์กลางตามขวางแล้วค่อยๆกระจายลายออกไปหาขอบ
บางครั้งอาจแบ่งเนื้อที่ออกเป็นส่วนๆ
แล้วตั้งต้นออกแบบจากขอบเข้าหาจุดศูนย์กลาง
แบบลวดลายมีขอบนี้ดัดแปลงไปได้หลายอย่าง อาจเป็นลายที่แบ่งเป็นส่วนๆ ซ้ำๆ
กัน หรือตลอดเนื้อที่ในขอบนั้นไม่ซ้ำกันเลยก็ได้
วงขอบจำกัดเนื้อที่จะเป็นรูปใดๆก็ได้
ถ้าพิจารณาอย่างกว้างๆ
อาจคิดว่า ผ้าลายไทยนั้น เป็นการออกแบบที่มีขอบจำกัด แต่ความเป็นจริงแล้ว
ผ้าลายไทยเป็นลวดลายซึ่งดัดแปลงมาจากลายกนกเดิมของไทย
แต่เพื่อเน้นให้เห็นถึงรูปร่างที่แท้จริงของลาย จึงได้เพิ่มขอบเข้าไปในภายหลัง
ซึ่งจะสังเกตความแตกต่างได้ง่ายมาก เพราะเส้นขอบรอบวงจะเป็นสีดำเสมอ
ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่แตกต่างออกไป
[Border Design คือ ริม (ลายขอบ) เช่น Black
Border คือ ริมผ้าที่เป็นสีดำ หรือ ขอบกุ้นสีดำ ]
การออกแบบลายแถบและริม
ลายแถบและริมจะเป็นแนวยาว
อาจเป็นลายง่ายๆ ตามแบบโบราณ หรือ พลิกแพลงอย่างสวยงาม นิยมใช้กันมาก
ลายแถบทุกชนิดจะเป็นลายริมไม่ได้
ลายริมหมายความถึงลายที่กำหนดให้อยู่ด้านนอกสุดของวัสดุที่ตกแต่งเป็นกั้นเขตไว้ภายใน
ส่วยลายริมนั้นไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่ริมเสมอไป อาจขนานกันไปหลายๆแถบจนเต็มพื้นที่
ที่ต้องการก็ได้
ลายแถบและลายริมต้องไม่กว้างจนเกินไป แต่ไม่กำหนดความยาว ขึ้นอยู่กับว่า
ถ้าเป็นลายริมจะเอาไปล้อมรอบสิ่งใดไว้ ส่วนลายแถบนั้นจะนำไปใช้ประโยชน์นี้อย่างใด
ลายริมอาจเป็นเพียงเส้นๆ
เดียวรอบวงไว้หรือเป็นเส้นขนานหลายๆเส้น
มักจะมีมุมอ้อมวกมาล้อมขอบสิ่งที่อยู่ภายใน การออกแบบตรงมุมวกกลับมักจะทำง่ายๆ
แบบซ้ำกับลายริมเดิมในระยะสั้นๆ
ลายริมจะต่อเนื่องกันเป็นเส้นยาวตลอดแนวที่ต้องการ ลายริมจะต้องมีการเน้น ลักษณะตรงกันข้าม
จังหวะความสมดุล ความแตกต่างและคุณค่าเหล่านี้ให้สัมพันธ์กัน
ลายริมจะต้องมีสัดส่วนที่พอเหมาะกับเนื้อที่ลวดลายที่ไปล้อมรอบอยู่
ลายริมไม่ควรตกแต่งประดับประดามากจนเกินไปหรือไปแข่งขันกับลวดลายภายใน
ซึ่งจะกลายเป็นการทำลายเอกภาพของลวดลายนั้นๆ การจำแนกลักษณะของลายริม
วิธีที่ง่ายที่สุด คือ
1. เส้นตรง เช่น เส้นตรง เส้นขนาน ลายประแจจีน ลายซิกแซก
ลายหัวมุมแบบบั้งนายสิบ ฯลฯ
2. เส้นโค้ง เช่น โค้งเป็นลูกคลื่น ลายเส้นโค้ง ลายบิดเกลียว ลายลูกโซ่
ลายเกลียวแบบตะปูควง
3. ลายเส้นผสม ได้แก่ การนำเอาลายเส้นแบบต่างๆ กันมาผสมดัดแปลงเป็นรูปลายใหม่ๆ
การออกแบบลายแถบสามารถใช้ในการออกแบบสำหรับพิมพ์ริบบิ้น
หรือดัดแปลงเป็นลายทอผ้าแถบเล็กๆ
ลายเฉพาะแห่งและการวางลาย
การออกแบบลายเฉพาะแห่งหรือลายจุด
หมายถึงลายที่มีเป็นแห่งๆ กระจัดกระจายทั่วไป
เป็นลวดลายตกแต่งที่ใช้กันมากเฉพาะวัตถุที่มีความต่อเนื่องโดยไม่จำกัด เช่น
ผ้าและกระดาษ
บรรดาผ้าพิมพ์ที่มีจำหน่ายในขณะนี้สามารถจำแนกลวดลายออกได้เป็น
2 ลักษณะ คือ
1. ลายเฉพาะแห่งหรือลายจุด ลวดลายแบบนี้ไม่ได้กำหนดว่า จะต้องมีขนาดเล็กใหญ่มากเท่าใด
หรือเป็นลวดลายอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ อาจเป็นหลายๆอย่างรวมกันก็ได้
จัดวางห่างกันเป็นระยะๆ แล้วแต่ความต้องการ
ลายเฉพาะแห่งจะต้องมีขนาดเนื้อที่เป็นพื้นมากกว่าที่เป็นลวดลายทั้งหมดรวมกัน
2. ลายเต็ม (all-over design) หมายความถึง ลวดลายที่กระจัดกระจายเต็มตลอดเนื้อที่
ที่ต้องการตกแต่ง แบบลวดลายที่แผ่กว้างเต็มตามหน้ากว้างของผ้าและต่อเนื่องไปตามความยาวของผ้าโดยไม่มีที่สิ้นสุด
อาจนิยามสั้นๆ ได้ว่า
ลายประเภทนี้จะต้องมีเนื้อที่ลายมากกว่าเนื้อที่ว่างของผืนผ้า
ลวดลายที่ออกแบบนี้ย่อมมีขนาดจำกัด ต้องทำซ้ำๆ
กันเป็นช่วงๆ หมุนเวียนกันจนกว่าจะครบ ลายที่ทำซ้ำๆ กันเรียกว่า วงจรของลาย (repeat) ขนาดของวงจรไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับความคิดในการออกแบบ,
ความกว้างของกรอบสกรีน, เส้นรอบวงของลูกกลิ้งลาย
แล้วแต่ว่าจะพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์แบบใด การออกแบบต้องให้มีวงจรลายครบรอบพอดี
ไม่เกิดรอยต่อในระหว่างสกรีนต่อสกรีน
ลวดลายที่ออกแบบมานั้นจะใช้ได้สวยงาม
มีผู้นิยมหรือไม่ ส่วนหนึ่งขึ้นกับระบบการจัดวางลวดลาย จังหวะที่วางแต่ละช่วง
แบบลวดลายที่ดีจำเป็นต้องควบคุมวางลวดลายซ้ำๆ กันให้มีระเบียบและกำหนดขนาดให้พอดี
ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เทคนิคการพิมพ์เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
ได้มาจากช่างเทคนิคของแบนด์ดังแห่งหนึ่งเกี่ยวกับการใช้สี คือลายเดียวกัน
ใช้บล็อกสกรีนเดียวกันสีเดียวกัน (แต่หลายบล็อกหลายสี
โดยให้ลายบนบล็อกคาบเกี่ยวเหลื่อมล้ำกัน)็อก็็
ให้กำหนดลงสี 1-2-3-4 สลับต่างกันไป
น้ำหนักในการลงต่างกัน ก็จะได้ลวดลายของสี/สีผสม/น้ำหนักสีต่างกันออกไป ดู
สวยงามแปลกตา เช่น ผืนแรก สกรีนสี แดง-เขียว-เหลือง-ฟ้า
ผืนสอง สกรีนสี เขียว-เหลือง-ฟ้า-แดง ผืนสาม สกรีนสี เขียว-ฟ้า-แดง-เหลือง ลวดลายจะได้สีแปลกแตกต่างออกไปในแต่ละผืน
Subscribe to:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น