01 กรกฎาคม 2558

หลังจากแนะนำวิธีการออมแบบหม่ามี่ไปแล้ว  มีคำถามจากเพื่อนๆ มามากมาย ข้อถือโอกาสนี้ตอบข้อซักถามฉบับหม่ามี๋ (ที่เคยทำ และทำมาตลอด) เป็นข้อๆ นะคะ


1.     ทำไม่ได้ ภาระมากมาย ค่าใช้จ่ายตามก้นมาติดๆ

ตอบ :  งั้นลองคิดกลับไปดูเล่นๆ นะคะ ถ้าทำตามใจตัวเองตอนนี้ และไม่มีเงินเก็บเลย หรือน้อยมาก พอแก่ตัวลงจะทำไง ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ไม่มีคนดูแล ไม่มีเงินสำรองไว้กินไว้ใช้ จะอยู่อย่างไร จะลำบากแค่ไหน  พอแก่ตัวลง นอกจากค่าอาหารแล้ว ยังมีค่าสุขภาพอีก 

            เมื่อสิบปีที่แล้ว ใช้เดือนละ 5000 บาทอยู่ได้ ปัจจุบันอย่างน้อยต้องมีเงินใช้เดือนละหมื่นถึงอยู่ได้ แล้วอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าหล่ะ คิดว่าต้องใช้เงินค่ากินค่าอยู่อีกอย่างน้อยเท่าไร  คิดแค่นี้ก็ดูหน้ากลัวแล้ว

            ถ้าไม่เก็บออมตอนที่ยังมีแรงแล้วจะทำตอนไหนล่ะคะ


      2.     ถ้าใช้เกินวงเงินที่กำหนดไว้ ทำไง

ตอบ :  ลงโทษตัวเองค่ะ สมมติวงเงินที่กำหนดไว้ใช้เดือนละ 6900 บาท แต่เดือนนี้เราใช้ 7000 บาท เดือนหน้าเราก็ต้องใช้ให้พอในวงเงิน 6800 บาท (หักไปหนี่งร้อยบาทที่ใช้เกินเมื่อเดือนก่อน เสมือนเราไปยืมเงินอนาคตมาใช้)  วิธีนี้สำหรับหม่ามี๋ มันเป็นการเตือนตัวเองค่ะว่าให้ระมัดระวังในการใช้เงินให้มากขึ้นกว่านี้  หม่ามี๋จะไม่มีทางเอาเงินเก็บมาใช้เด็ดขาด บอกแล้วว่าเงินเก็บให้ทำเสมือนไม่มีเงินก้อนนี้อยู่ ลืมๆไปเลย
 

3.     เงินเก็บฝากประจำ หรือ ลงทุนหมดไม่ได้ ต้องกันไว้เผื่อฉุกเฉิน ในบัญชีออมทรัพย์

ตอบ :  งั้นลองถามตัวเอง หรือกลับไปมองดูปีที่แล้ว ห้าปีที่แล้ว สิบปีที่แล้วดูนะคะว่า ได้นำเงินก้อนนี้ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินจริงแค่ไหน เท่าไร หลายๆครั้ง จะเห็นว่าแทบจะไม่ได้ใช้เลย แล้วจะเก็บในบัญชีออมทรัพย์ด้วยดอกเบี้ยห้าสิบสตางค์ทำไม สู้โยกไปฝากประจำดอกเบี้ย 3-4% หรือลงทุนแบบอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าไม่ดีหรือ ดอกเบี้ยที่ได้ก็นำไปฝากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบพิเศษ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 1-2.3% เพื่อสำรองเป็นเงินฉุกเฉินก็ได้

            หากย้อนกลับไปดู พบว่ามีเหตุต้องใช้จริง เท่าไรล่ะคะ งั้นกันเงินจำนวนนั้นไว้สำรองฉุกเฉิน แล้วนำเงินที่เหลือไปลงทุนดีกว่ามั๊ยเอ่ย

            หรือลองสำรวงจตัวเองดูนะคะว่า ตัวเองวางแผนการใช้เงินในอนาคตอย่างไร จะซื้อบ้าน ซื้อเมื่อไร อีกกี่ปีถึงจะซื้อ สมมติว่าจะซื้ออีกห้าปีข้างหน้า ก็นำเงินไปลงทุนที่กำหนดว่าอีกห้าปีข้างหน้าจะได้เงินต้นกลับมา แค่นี้คุณก็ได้ทั้งต้นทั้งดอกแล้วค่ะ 

            วิธีการมีอีกเยอะแยะ ลองค่อยๆคิด แล้วลงมือทำเลยนะคะ ไม่ใช่แต่คิดแล้วไม่ทำ ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ
 

4.     ถ้าจะเงินเดือนเยอะ ถึงเก็บเงินได้มาก

ตอบ :  หม่ามี๋เริ่มต้นทำงานที่เงินเดือน 4000 บาทค่ะ เท่าเงินเดือนที่รัฐบาลกำหนดสำหรับเด็กจบใหม่ และไม่เคยเรียกร้องเงินเดือนสูงๆ ค่ะ  ตอนนั้นใช้แค่ 10% ของเงินเดือนเท่านั้น ทำไมทำได้ เพราะทำงานใกล้บ้านค่ะ เดินไปทำงานไม่เสียค่ารถ ทำงานหนักไม่มีเวลาส่วนตัว, ก็ไม่มีเวลาช็อปปิ้ง ก้อเลยประหยัดค่าแต่งตัว กลับบ้านกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน ถึงแม้ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืน (555 ประหยัดค่าข้าวเย็น ข้าวเช้าไม่มีเวลากิน แค่ตื่นทันไปทำงานก็เก่งแล้ว)  ไม่ได้บอกว่าให้ทำตามนะคะ  คุณปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น ไม่ต้องประหยัดถึงขนาดนี้ก็ได้

            บางคนอาจจะว่า มีพ่อแม่ ลูกเต้าต้องดูแล เงินทั้งนั้น ถูกค่ะ แต่อย่างลืมว่ามันมีวิธีประหยัดตั้งหลายอย่าง คิดง่ายๆ มีเงินเก็บดีกว่าไม่มี มีมากดีกว่ามีน้อย เคยขึ้นรถแอร์ไปทำงาน ลองเปลี่ยนเป็นรถร้อนดูบ้าง ทำทุกวันไม่ไหวไม่ชิน ทำวันเว้นวันก็ได้ เคยกินข้าวมื้อละร้อยเป็นอย่างต่ำ ลองกินข้าวแกงข้างทาง 25-50 บาทดูบ้างค่ะ

            หม่ามี๋ไม่มองว่าพรุ่งนี้จะมีกินไหม จะเป็นยังไง แต่จะมองไปข้างหน้าไกลๆ เป็นระยะๆค่ะ ว่าอนาคตตัวเองในอีกห้าปีข้างหน้า อีกสิบปี อีกยี่สิบปี จะทำอะไร จะใช้ชีวิตอย่างไร จะเป็นอยู่อย่างไร หม่ามี๋ต้องการความมั่นคงให้กับชีวิตค่ะ

 
5.      เก็บเงินเก่งจัง คิดได้ไง ทำได้ไง

ตอบ :  คำตอบนี้คงต้องบอกว่า มาจากพื้นฐานของครอบครัว แม่สอนให้ประหยัดตั้งแต่เด็ก อะไรก็ไม่จำเป็น มันเลยเคยชินที่จะเก็บเป็นเงินหรือสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่าได้ และด้วยความคิดต่อต้านประเพณีจีนหัวเก่าที่ว่า ผู้ชายอยู่หน้าบ้าน ผู้หญิงอยู่หลังบ้าน (คงงง ก็ผู้หญิงมีหน้าที่ดูแลบ้าน แต่งงาน ดูแลสามีและลูก แบมือขอ อยู่ภายคำสั่ง มองดูเหมือนอนาคตของผู้หญิงมีรูปแบบเดียวไงไม่รู้) หม่ามี๋ไม่อยากเป็นแบบนั้นค่ะ หม่ามี๋อยากมีอิสระ ออกความคิดได้ ตัดสินใจทำอะไรๆด้วยตัวเองได้ มีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็เลยคิดและทำมาตั้งแต่เด็กค่ะ


6.     ขอขยายนิ๊ดสส เรื่องวิธีการใช้เงินค่ะ  

ตอบ :  บางคนยังย้ำค่ะว่า ค่าใช้จ่ายเยอะ ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย ทำไงดี  งั้นลองทำวิธีนี้ดูนะคะ

ลงรายละเอียดใช้จ่ายในแต่ละวันดู พอครบเดือน มาสรุปค่าใช้จ่ายดูโดยแยกเป็นหมวดหมู่ตามความจำเป็นจริง ไม่จำเป็นเท่าไร มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  

-         ตามความจำเป็นจริง เช่น ค่าอาหารค่ารถ ค่าสังคม ค่าดูแลครอบครัว

-         ไม่จำเป็นเท่าไร หรือ มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร เช่น ค่าเสื้อผ้าเครื่องประดับ

-         ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ก็อย่างเช่น ของซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ ทิ้งไว้เฉยๆ

ตามความจำเป็นจริง - ค่าสังคม ค่าดูแลครอบครัว น่าจะขยับไม่ได้เนอะ ส่วนค่าอาหารค่ารถ น่าจะพอขยับหรือเลือกได้ ไม่ได้บอกว่าจะต้องบีบให้ใช้ถูกสุด ประหยัดสุด คนเรามีความอยาก เข้าใจค่ะ แต่เราต้องคอยควบคุมความอยากนั้นไม่ให้มากเกินไป แค่นี้ก็ลดค่าใช้จ่ายได้แล้ว

ไม่จำเป็นเท่าไร หรือ มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ความอยากไม่เข้าใครออกใครค่ะ หม่ามี๋ก็อยากได้เหมือนกัน บางทีตอนซื้ออยากได้มาก พอเอากลับมาที่บ้าน ใช้ครั้งเดียวแล้วก็ไม่เหลียวแลมันอีกเลยก็มี และแล้วหม่ามี๋ก็ค้นพบวิธีค่ะ คือ ให้คิดถึงความจำเป็นก่อนค่ะ ว่าจำเป็นมั๊ย ของที่มีอยู่พอทดแทนกันได้หรือเปล่า ถ้าคำตอบว่ามี, หันหลังแล้วเดินกลับเลยค่ะ ไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าเห็นแล้วอยากได้มาก ลองหยุดตัวเองก่อน ยืนมองนานๆ แล้วหันหลังกลับ เดินไปเลยค่ะ ดูอย่างอื่นต่อ กลับบ้าน วันรุ่งขึ้น คิดดูว่ายังอยากได้อีกหรือเปล่า กลับไปดูใหม่แล้วสังเกตตัวเองว่าความอยากลดลงหรือเปล่า ทำอย่างนี้ซักสามครั้งนะคะ ถ้าความอยากยังมีอยู่ ซื้อเลยค่ะ อย่างน้อยก็ลดแรงกดดันให้กับตัวเอง เป็นของขวัญเป็นรางวัลให้กับชีวิต แต่ส่วนใหญ่เชื่อเถอะค่ะว่าไม่ได้ซื้อหรอก ความอยากลดลงและหายไปเอง

ค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ อันนี้ก็สื่อความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ตัดไปเถอะค่ะ

เห็นมั๊ยเอ่ยว่า ถ้าจะเก็บออมจริงก็ทำได้


7.      เคล็ดลับอีกอย่างของหม่ามี๋ ในการออม

หม่ามี๋ไม่เก็บเงินในรูปแบบเดียวหรอกนะคะ แต่ก็ยอมรับว่าตัวเองหาเงินไม่ค่อยเป็นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ เป็นแต่เก็บค่ะ ตามหลักเศรษฐศาสตร์กล่าวไว้ว่า ไม่ควรเก็บเงินทั้งหมดในที่เดียวกันเพราะมีความเสี่ยง เลยเชื่อตามนั้นและกระจายเงินไปในหลายรูปแบบ เช่น ซื้อประกันชีวิตแบบประกันสุขภาพและอุบัติเหตุ ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ฝากธนาคาร ซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร ทอง ฯลฯ เหตุผลมีอยู่นะคะ มันเกื้อหนุนกันอยู่ ถ้าให้อธิบายยาวๆ ปวดหัวค่ะ ช่างมันเถอะ

หม่ามี๋ไม่เอาเงินเก็บเงินลงทุนมาใช้จ่าย แต่ถือเสมือนว่าเป็นต้นทุนที่ไม่สมควรให้ลดน้อยลง จะใช้เฉพาะดอกผลที่ได้จากการลงทุนเท่านั้น ถ้าให้ดีไม่ใช้หมดแต่สะสมดอกผลนั้นด้วยได้จะดีมาก ฟังดูเหมือนงกเนอะ แต่อย่าลืมค่าเงินมันลดลงทุกวัน มีเงินเท่าเดิมแต่ซื้อของได้น้อยลง

อ่า...เคยได้ยินมาว่า เก็บไปทำไม ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ไม่ได้ใช้อยู่ดี งั้นถามหน่อยว่า เรารู้วันตายของตัวเองหรือเปล่า แล้วช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ จะอยู่อย่างไร ตายไป, ที่เหลืออยู่ก็ให้พ่อแม่ลูกหลานที่ยังอยู่ได้ใช้ต่อ จะเป็นไรไปค่ะ

น่าจะครบถ้วนแล้วนะคะ แต่ถ้าคิดอะไรได้อีก จะนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่อดทนอ่านจนจบค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

By :
Free Blog Templates