28 มีนาคม 2557


คำว่า  ปาเต๊ะ เป็นภาษาชวา ใช้เรียกผ้าย้อมสีชนิดหนึ่ง  ที่รวมเอาศิลปะทางด้านฝีมือและเทคนิคทางการย้อมสีเข้าด้วยกัน  ตามหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏว่า  มีการทำผ้าปาเต๊ะมาประมาณ 2,000 ปี  แหล่งกำนิดของศิลปะพื้นเมืองโบราณนี้ไม่เป็นที่แน่ชัด  หลักฐานที่พบ  ไม่เฉพาะแต่ในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น  ยังพบในญี่ปุ่นและแอฟริกาด้วย 


ในระหว่างศตวรรษที่  16 และ 17  ผู้หญิงในตระกูลสูงของอินโดนีเซียเป็นผู้ริเริ่มทำผ้าปาเต๊ะด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์สวยงามหลายแบบขึ้น  ใช้สำหรับชายหญิงชาวอินโดนีเซีย  ต่อจากนั้นชาวดัชท์ก็นำผ้าปาเต๊ะจากชวาไปแพร่หลายยังทวีปยุโรป  ศิลปะการทำผ้าปาเต๊ะของชวาที่มีชื่อเสียงและรู้จักกันดีก็คือ  โสร่งปาเต๊ะ และ การทำผ้าปาเต๊ะได้กลายเป็นเทคนิคทางหัตถกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนศิลปะอย่างอื่น

การทำผ้าปาเต๊ะ อาศัยเทคนิคง่ายๆ  คือ  การกันสีด้วยเทียนโดยการเขียน หรือ พิมพ์เป็นลวดลายต่างๆ ลงบนผืนผ้าในส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีย้อม  เมื่อนำไปย้อมสีก็จะติดเฉพาะส่วนที่ไม่ลงเทียนไว้  และติดซึมไปตามรอยแตกของเทียน  เกิดเป็นลวดลายที่สวยงามแปลกตาอันเป็นสัญลักษณ์ของผ้าปาเต๊ะ

ผ้าปาเต๊ะนำมาทำผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายชนิด  เช่น  เครื่องนุ่งห่ม  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ  เน็คไท  ผ้าปูโต๊ะ  ผ้าม่าน  ผ้าคลุมเตียง และ อื่นๆ

สำหรับเมืองไทย  การทำผ้าปาเต๊ะ  โดยวิธีการพิมพ์ลวดลายผ้าด้วยเทียนบนผืนผ้าเป็นอุตสาหกรรมกันมานานแล้วแถบภาคใต้  เช่น  ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ฯลฯ  กองอุตสาหกรรมสิ่งทอ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้สนับสนุนส่งเสริมให้อาชีพการทำผ้าปาเต๊ะแพร่หลายยิ่งขึ้น  จึงได้ดำเนินการอบรมการทำผ้าปาเต๊ะให้แก่ผู้สนใจ

วัสดุและการเตรียม
1.  วัสดุที่ใช้ในการทำผ้าปาเต๊ะ 
-  ผ้าฝ้าย  ลินิน  วิสโคส และ ไหม  เป็นชนิดของผ้าที่นำมาทำผ้าปาเต๊ะได้   เส้นใยผ้าเหล่านี้สามารถย้อมติดสีที่ใช้กรรมวิธีย้อมเย็นได้ดี  เพราะที่ต้องใช้กรรมวิธีย้อมเย็น (อุณหภูมิไม่เกิน 35 องศา เพราะ เทียนมีจุดหลอมเหลวที่ต่ำมาก  ถ้าย้อมอุณหภูมิสูง  เทียนก็จะละลายหลุดออกจากผ้าขาดคุณสมบัติกันสีตามที่ต้องการไป)  ผ้าที่ใช้ต้องไม่หนาจนเกินไป  เพื่อให้เทียนสามารถซึมผ่านทะลุถึงอีกด้านหนึ่ง  และจะได้ลวดลายผ้าปาเต๊ะที่สวยงาม   ถ้าจำเป็นต้องใช้ผ้าหนาเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม  ก็ต้องลงเทียนทั้งสองหน้า  ซึ่งจะเป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองทียนมาก   ผ้าที่เหมาะในการทำผ้าปาเต๊ะ  เช่น ผ้าฝ้ายมัสลิน ผ้าซันเฟอร์ไรท์  ผ้าลินินริมเขียว ผ้าไปมชนิดเนื้อบาง
-  เทียน(wax)  ใช้สำหรับเขียนหรือพิมพ์ลวยลายบนผืนผ้าเพื่อกันสีย้อมได้  เทียนได้มาจากการผสมของขี้ผึ้ง (Bee Wax) และ พาราฟิน (Parafin Wax)  ในอัตราส่วนที่พอเหมาะที่จะให้เกิดรอยแตกของลายมากน้อยตามต้องการ  ขี้ผึ้งเป็นตัวทำให้เหนียวเกาะจับผ้าดี  แต่เกิดรอยแตกยาก  ส่วนพาราฟินจะทำให้เทียนเปราะมีรอยแตก หากผสมมาก ก็จะเกิดรอยแตกมาก  บางทีจะผสมยางสนและไขมันสัตว์ลงไป  ช่วยให้เทียนเปราะง่ายขึ้น
-  กรอบไม้ (Frame)  เป็นโครงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือ ผืนผ้า  สำหรับขึงผ้าเวลาเขียนลาย  มีขนาดความกว้างยาวตามความกว้างยาวของชิ้นผ้าที่จะทำผ้าปาเต๊ะ  ควรทำด้วยไม้เนื้ออ่อน (ขนาด 1 ½ - 2” จำนวน 2 ชุด)  เพื่อใช้เปิดยึดผ้าและดึงออกได้สะดวก และกรอบไม้ควรทำให้สามารถปรับขนาดความกว้างยาวตามชิ้นงานต่างๆ กันได้
-   โต๊ะพิมพ์ลาย  เป็นโต๊ะที่ใช้พิมพ์ลายเทียนด้วยบล็อก หรือสเตนซิล (Stencil)  ปูด้วยกาบกล้วย เพื่อไม่ให้เทียนติดโต๊ะพิมพ์
-  เครื่องมือสำหรับเขียนลวดลาย  มี พู่กันไม้ หรือ ปากกาทำด้วยทองเหลือง มีช่องทางให้น้ำเทียนไหลออก และมีเครื่องมือที่ใช้สำหรับเขียนเทียนโดยเฉพาะเรียกว่า  ซ่านติ้ง (Tjanting)  มีลักษณะเป็นกาเล็กๆ ทำด้วยทองเหลือง มีพวยและที่จับ
-  สีย้อม  เป็นสีประเภทย้อมเย็น  ได้แก่  Vat Dyes, Solubilised Vat Dyes, Reactive Dyes, Azoic Dyes.

2.  การเตรียมวัสดุก่อนการลงมือทำ
-  การเตรียมผ้า  ผ้าที่จะนำมาใช้ทำปาเต๊ะ  จำเป็นต้องขจัดสิ่งสกปรกและสารที่เคลือบแต่งอยู่บนผิวหน้า  เช่น แป้ง  สารตกแต่งความขาว (Optical Brightener)  เป็นต้น ออกให้หมดก่อน  เพื่อให้เทียนซึมผ่านได้สะดวก และให้สีย้อมติดผ้าดีไม่ด่าง  โดยวิธีการ Souring  คือ ต้มโซดา (Soda Boiling)  ซึ่งมีสารเคมีพวกโซดาแอส  โซดาไฟ และสบู่เทียน (Wetting Agent) สำหรับผ้าฝ้ายและลินิน  (แต่ผ้าไหมใช้เพียง โซดาแอส  และสบู่เทียน)  โดยต้มที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  ใช้สัดส่วนของสารเคมีดังต่อไปนี้ 
โซดาแอส                              1 กรัม/ลิตร
โซดาไฟ                                1 กรัม/ลิตร (เฉพาะผ้าฝ้ายและลินิน)
สบู่เทียน                                1 กรัม/ลิตร
เสร็จแล้วซักน้ำสะอาด  ตากแห้ง  และรีดให้เรียบ  เพื่อเตรียมไว้เขียนและพิมพ์ลายด้วยเทียนต่อไป

-  การเตรียมน้ำเทียน  น้ำเทียนที่จะใช้ เขียนหรือพิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้า  ใช้อัตราส่วนผสม (โดยน้ำหนัก)  ของขี้ผึ้งและพาราฟิน ระหว่าง 1 : 4  เป็นอย่างต่ำ จนถึง 1 : 12 เป็นอย่างสูง  อัตราส่วนของพาราฟินที่มากขึ้นช่วยให้เกิดรอยแตกของเทียนบนผ้าได้มากขึ้น จะผสมในอัตราส่วนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ  แล้วนำไปตั้งไฟที่ร้อนพอประมาณ (ควรระวังอย่างมาก  ถ้าไฟร้อนจัดมากอาจเกิดการลุกไหม้เป็นอันตรายได้)  จนน้ำเทียนหลอมเหลวหมดมีอุณหภูมิประมาณ 120 – 140 องศาเซลเซียล  ไม่ควรให้น้ำเทียนร้อนมากกว่านี้  เพราะจะทำให้เทียนซึมกระจายไปตามเส้นใยผ้า  ไม่เกาะตัวเป็นลวดลายลงผ้าตามที่ต้องการ  และไม่ควรให้น้ำเทียนเย็นเกินไปเพราะเทียนจะแข็งเกาะติด  อุดช่องเครื่องมือเครื่องเขียนหรือพิมพ์ลวดลาย  ทำให้การเขียนลายลำบาก ไม่สม่ำเสมอ  และไม่ติดผ้าเวลาย้อมสี  เทียนจะหลุดออกมา  ไม่ได้ลวดลายตามต้องการ  จึงควรมีเตาไฟอ่อนๆ อุ่นเทียนอยู่เสมอ  เพื่อรักษาอุณหภูมิของน้ำเทียนให้อยู่ในระดับใช้งานได้

-  การเตรียมน้ำย้อมสี  การย้อมสีแต่ละประเภทใช้สารเคมีประกอบในการเตรียมน้ำย้อมแตกต่างกันออกไป  (ดูเรื่องกรรมวิธีการย้อมสี)  ซึ่งจะมีสารเคมีจำพวกกรดหรือด่างปนอยู่ด้วย  กรดและด่างจะทำปฏิกิริยากับโลหะต่างๆ  ดังนั้นไม่ควรใช้อ่างย้อมที่ทำด้วยโลหะพวก  เหล็ก อลูมิเนียม ทองเหลือง สังกะสี เพราะจะทำให้เกิดการผุกร่อนของโลหะ เกิดสนิมเปื้อนติดผ้า  ทำให้สีผ้าที่ย้อมเปลี่ยนไปได้  ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะที่เคลือบบผิวแล้ว หรือ ภาชนะดินเผาเคลือบ ดีที่สุด  ขนาดของภาชนะควรมีความกว้างมากกว่าความสูง  เพื่อให้ผ้าที่ย้อมแผ่กระจายติดสีได้สม่ำเสมอ  เช่น ชามอ่างหรือกะละมัง ฯลฯ

3.  การเตรียมลายผ้าปาเต๊ะ
-  วิธีการออกแบบลายผ้า  ขั้นแรกผู้ออกแบบต้องรู้ก่อนว่าผ้าที่จะนำมาเขียนนั้น  จะนำไปทำอะไร เช่น  ผ้าเช็ดหน้า  ผ้าพันคอ ผ้าม่าน ฯลฯ  แล้วจึงออกแบบให้เหมาะสมได้สัดส่วนต่อพื้นที่และขนาด  
สำหรับผู้ออกแบบที่ยังไม่ชำนาญ  ควรหัดร่างลายลงบนกระดาษขาวก่อนหลายๆ ลาย  แล้วเลือกลายที่ชอบลอกลงบนผ้าด้วยดินสอดำ
ปาเต๊ะที่นิยมโดยทั่วไป  เป็นปาเต๊ะที่ทำด้วยฝีมือจึงจะถือว่าเป็นศิลปะและน่าภูมิใจมากกว่า  ปาเต๊ะที่พิมพ์ด้วยเครื่อง  เพราะลายในการเขียนผ้าแต่ละผืนย่อมไม่เหมือนกัน  ช่องไฟไม่เท่ากัน  อยู่ที่ผู้ออกแบบลายจะมีความสามารถและมองเห็นความงามของลายที่เขียนได้มากน้อยแค่ไหน
-  ขนาดของลายที่จะเขียนลงบนผ้าลักษณะต่างๆ   การออกแบบไม่จำเป็นที่จะต้องออกลายละเอียดจนเกินไปเพราะจะยากในการลงเทียน  ควรออกแบบลายให้ช่องไฟห่างพอสมควร  ให้คำนึงถึงผ้าที่จะนำไป ใช้ประโยชน์และให้สัมพันธ์กับลายด้วย  เช่น  ผ้าเช็ดหน้า ออกแบบลายตรงกลางของผ้าหรือมุมผ้า  ลายมีขนาดพอดี  อาจจะเป็นลายเส้นทรงเลขาคณิต หรือ ลายเส้นที่อ่อนไหว เช่น ดอกไม้  แล้วแต่ถนัด
การออกแบบลายผ้าคลุมผม  ก็มีลักษณะเดียวกับผ้าเช็ดหน้า  จะต่างกันก็ตรงขนาดของผ้าและขนาดของลาย คือ ลายจะต้องขยายใหญ่ขึ้นตามอัตรส่วนของผ้า
การออกแบบลายผ้าตัดเสื้อ  ส่วนมากลายผ้ามักจะแตกต่างไปจากลายผ้าเช็ดหน้าและผ้าคลุมผม  มีการออกแบบได้ 2 ลักษณะ คือ ลายซ้ำๆ หรือ ลายเชิง  และ ตลอดทั้งผืน ลายไม่เหมือนกันเลย  อยู่ที่ความประสงค์ของผู้ออกแบบว่าจะเน้นให้สวยงามไปในด้านไหน  เมื่อนำมาสวมใส่
การออกแบบลายซ้ำ (Repetition) คือ การออกแบบลายครั้งเดียวเป็นกลุ่มๆ แล้วเขียนลายซ้ำๆ กันจนหมดผืนผ้า  แต่การเขียนลายชนิดนี้ไม่ค่อยนิยมเขียนบนผ้าปาเต๊ะ  เพราะยากในการเขียนที่จะให้ช่องไฟเท่ากันไปตลอด  และเมื่อเสร็จแล้วมันไม่ค่อยสวยงามและมองดูคล้ายๆ ผ้าพิมพ์
การเขียนลายเชิง หรือ ลายที่ไม่เหมือนกันตลอดทั้งผืนนั้น  ก่อนออกแบบลายมักจะต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อนเกี่ยวกับการจะนำไปตัดเป็นชุดว่า  เมื่อออกแบบลายอย่างนี้มาเท่านี้  เมื่อตัดตามลายแล้วผ้าจะพอไหม  เมื่อคิดดีแล้วก็เขียนลายไปตามความพอใจ  มักจะเขียนแบบ Free Hand คือ ไม่ต้องร่างลายลงบนผ้าเสียก่อน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ เราต้องรู้อยู่เสมอว่าลายของผ้าปาเต๊ะอย่างเดียวนั้นไม่ได้ทำให้ผ้าสวยงามสมบูรณ์  ต้องใช้สีย้อมประกอบด้วยเป็นอย่างมาก  เพราะสีเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจควบคู่กันไปกับลาย
ผ้าม่านก็มีลักษณะคล้ายผ้าตัดเสื้อ  แต่ผ้าม่านเรามักจะใช้ลายใหญ่ๆ  เพราะไม่ต้องคำนึงถึงการต่อลายเหมือนเวลาเขียนผ้าตัดเสื้อ
-          การลงลวดลายด้วยเทียนบนผืนผ้า  อาจทำได้ 3 แบบ ด้วยกันคือ
ก.  การเขียนลงบนผืนผ้าตามลวดลายที่ลอกลงไว้ด้วยดินสอดำเป็นลักษณะ Free Hand Drawing  หรือ ถ้าชำนาญในการเขียนลวดลายมากพอ  ก็เขียนเทียนเป็นลวดลายบนผืนผ้าเลย  โดยใช้พู่กัน หรือ ซานติ้ง  แล้วแต่ขนาดของเส้นและลวดลายที่ต้องการใช้  การใช้ซานติ้ง จะกำหนดลวดลายเส้นใหญ่เล็กได้ตามความต้องการ  โดยใช้กาที่มีรูพวยขนาดต่างๆ กัน
ข.  การใช้บล็อกพิมพ์เทียนลงบนผ้า  บล็อกที่ใช้ทำด้วยทองแดง ทองเหลือง หรือ สังกะสี และมีที่จับ  ตัวบล็อกแกะเป็นลวดลายต่างๆ  วิธีนี้จะได้ลวดลายผ้าที่สม่ำเสมอตลอดผืนผ้า
ค.  การใช้สเตนซิล  ที่ทำด้วยแผ่นพลาสติกบางใสสีขาว  ที่มีลวดลายละเอียดสวยงามและสามารถที่จะทำลวดลายบนผ้าเหมือนๆ กันได้เป็นชุด หลาย ๆ ผืน  สเตนซิลแผ่นหนึ่งจะใช้ลงเทียนได้ 40 – 50 ครั้ง

4.  การย้อมสีผ้าปาเต๊ะ
 -  อิทธิพลของสีที่มีต่อผ้า  สีที่ใช้กันก็มักจะเป็นประเภทสีกลมกลืน  อาจเป็นโทนร้อนหรือเย็นก็ได้  หรือสีคนละโทนนำมาผสมกันที่รียกว่า สีตัดกัน (contrast)  แล้วแต่รสนิยมของผู้ทำ  และต้องถูกกับสภาพ แวดล้อมที่ปาเต๊ะนั้นๆ จะไปปรากฏอยู่ด้วย
สีของผ้าปาเต๊ะที่นิยมทำกันมีได้ตั้งแต่ 1, 2, 3 สี แล้วแต่ความต้องการของผู้ออกแบบ 
ก .  การใช้สีเดียว คือ เขียนลวดลายด้วยเทียนแล้วนำไปย้อม  ควรจะเป็นสีเข้ม  จะทำให้เห็นลวดลายได้เด่นชัดสวยงาม
ข.  การใช้สี 2 สี  คือ เขียน Outline เสรร็จแล้วนำไปย้อมครั้งที่ 1 ควรจะใช้สีอ่อน  เสร็จแล้วผึ่งจนแห้ง   นำมากลบเทียนเพื่อเก็บสีแรกที่เราต้องการไว้  แล้วนำไปย้อมสีที่เข้มกว่าอีกครั้งหนึ่ง
ค.  การใช้สี 3 สี  คือ  มีวิธีการเหมือนกับย้อม 2 สี ผิดกันแต่ว่า  เมื่อย้อมสีที่ 2 แล้ว ต้องนำมากลบเทียนเก็บสีที่ 2  ที่เราต้องการไว้อีก แล้วนำไปย้อมสีอีกหนหนึ่ง  ครั้งสุดท้ายจะต้องเป็นสีที่เข้มมาก  เพื่อสี 2 สี ที่แล้วจะได้เห็นเด่นชัด  การย้อมสี 3 สีนี้เป็นการเสียเวลามาก
ถ้าเราต้องการสีมากกว่านี้  ต้องคำนึงถึงลวดลายที่เขียนด้วยเทียนว่าเทียนยังติดเนื้อผ้าดีอยู่หรือเปล่า   ส่วนมากไม่นิยมทำหลายสีจนเกินไป เพราะทำให้ได้สีไม่สวย

5.  กรรมวิธีขั้นสุดท้ายของการทำผ้าปาเต๊ะ
-  การลอกเทียน  เมื่อย้อมได้ลวดลายผ้าตามต้องการแล้ว  ขั้นต่อไปคือ การลอกเทียนออกจากผ้า  ซึ่งทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้
ก.  ต้ม  วิธีนี้ดีที่สุด คือ ใช้น้ำร้อนลวกเทียนจนเกือบหมด  แล้วจึงเอาลงต้มในอ่างน้ำร้อนที่มีสบู่จนเทียนหลุดออกหมด
ข.  รีด  วางผ้าปาเต๊ะที่จะลอกเทียนลงบนกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ หลายๆ ชั้น และทับต่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกหลายๆ ชั้น  รีดบนกระดาษไปมาจนกระทั่งเทียนซึมติดหนังสือพิมพ์  วิธีการนี้เทียนอาจจะเปื้อนเป็นขอบรอบลายผ้า  จะขจัดรอยเปื้อนได้โดยใช้น้ำละลาย (Cleaning Salvent)  แต่ถ้าเป็นผ้าที่ย้อมด้วยสี  จะใช้น้ำยานี้ไม่ได้   จะต้องนำไปต้มต่อด้วยสบู่
ค.  ใช้น้ำยา (Cleaning Salvent)  เหมาะสำหรับสถานที่แคบ ไม่สามารถลอกเทียนได้  ใช้สารละลายพวกแอลกอฮอล์หรือน้ำยาซักแห้งพวกเบนซิน หรือ เตตราคลอไรด์  แต่สารเหล่านี้เป็นสารติดไฟ   เวลาใช้ควรระวังไม่ให้ใกล้ไฟ  สารละลายเหล่านี้เมื่อใช้แล้วเก็บไว้ใช้ครั้งต่อๆไปได้  นำผ้าที่ลอกเทียนแล้วไปซักอีกที
-  การทำความสะอาดผ้าและตกแต่งขั้นสุดท้าย   หลังจากลอกเทียนออกจากผ้าปาเต๊ะที่ย้อมสีเสร็จด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว  จำเป็นต้องทำความสะอาดผ้าให้เทียนและสีที่เกาะอยู่หลวมๆ ตามผิวผ้าหมดไป  พร้อมทั้งตกแต่งเป็นขั้นสุดท้าย  เพื่อคุณภาพที่ดีของผ้าปาเต๊ะที่ผลิตออกมา  คือ มีความนุ่มนวลในการสัมผัส  ไม่ตกสี เมื่อซักฟอกตามปกติหลังจากการใช้  (การซักให้สีติดทน  โดยผสมน้ำส้มสายชู + ซันไลต์  แช่ผ้าลงไปสักครู่ใหญ่  แล้วซักปกติ) 

25 มีนาคม 2557



หลังจากการลงเทียนบนผืนผ้าตามลวดลายที่ต้องการแล้ว  ก่อนถึงขั้นการย้อมสี  จะต้องคิดหรือออกแบบไว้ก่อนว่าชิ้นงานผ้าปาเต๊ะนั้นจะออกมาเป็นกี่สี สีอะไรบ้าง  ต้องคำนึงเสมอว่าการย้อมผ้าปาเต๊ะจะต้องย้อมเริ่มต้นจากสีอ่อนไปหาสีเข้ม  และจะต้องรู้ว่าจะใช้สีประเภทไหนกับผ้าใยชนิดนั้นๆ  สีย้อมเย็นทั้ง 4 ประเภท 
โดยทั่วไปเหมาะที่จะย้อมผ้าฝ้าย และผ้าที่มาจากเซลลูโลสอื่นๆ  คือ ลินิน  วิสโคส เป็นต้น  สำหรับผ้าไหมนั้นเป็นเส้นใยจำพวกโปรตีนอาจย้อมได้ด้วยสี Vat, Solubilished Vat และ Reactive  แต่ต้องใช้ ความระมัดระวังในการย้อมให้มาก  โดยปรกติการย้อมผ้าไหมไม่ค่อยเหมาะที่จะย้อมในอ่างน้ำย้อมสีที่เป็นด่าง   เพราะด่างเป็นอันตรายต่อเส้นใยไหม  ทำให้ไหมเสื่อมคุณภาพในด้านลดความเหนียว  และความเป็นเงามันได้  ในกรณีที่ใช้สีที่อ่างน้ำย้อมใช้ด่างจำพวกโซดาไฟซึ่งเป็นด่างแก่  ควรลดปริมาณของด่างให้น้อยลงกว่าปกติที่ใช้ในการย้อมผ้าฝ้าย  และเมื่อเสร็จการย้อมแล้วควรรีบล้างด่างในผ้าออกให้หมด  โดยการต้มล้างด้วยน้ำสบู่หรือน้ำที่ผสมกรดน้ำส้ม  เพื่อทำให้ผ้ามีสภาพเป็นกลาง

                สำหรับกรรมวิธีการการย้อมสีทั้ง 4 ประเภท มีวิธีการย้อม ขั้นตอน  สารเคมีที่ใช้ประกอบแตกต่างกันออกไปดังนี้ 

ก.  การย้อมสี Vat  
     วิธีเตรียมน้ำย้อม  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า (liquor ratio) =  20 : 1
                                                                สีเข้ม                      สีอ่อน
                สี Vat                                     3 – 5                       1 – 2   % ของน้ำหนักผ้า
                ไฮโดร์ซัลไฟด์                        5                               2       กรัม/ลิตร
                โซดาไฟ 38 องศาBe             6                               6       กรัม/ลิตร
                เกลือ                                       30                           15       กรัม/ลิตร
ละลายสีโดยใช้น้ำร้อน 90 องศาเซลเซียล  ประมาณ 20 เท่าของสี ลงในสี, ไฮโดร์ซัลไฟด์ และโซดาไฟ จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำสีเกิดขึ้น  แสดงถึงการละลายของสี  คนจนสีละลายหมด  ใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที  เติมน้ำเย็นให้ครบจำนวนที่ต้องการ ใส่เกลือคนจนละลายหมด  นำผ้าลงย้อม  ใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที  นำขึ้นผึ่งอากาศให้สีอ็อกซิไดส์กับอากาศ  ปรากฏเป็นสีจริงแล้วจึงล้างด้วยน้ำเย็นตากให้แห้ง  เพื่อที่จะนำไปเขียนเทียนต่อไป

ข.  การย้อมสี  Solubilised Vat  แบ่งวิธีการย้อมออกเป็น 2 ขั้น คือ
                1.  ขั้นการย้อมสี
                2.  ขั้นการทำให้เกิดสี (developing)
     วิธีเตรียมน้ำย้อม   ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า  =  20 : 1
                สี Solubilised Vat                 0.2 – 2    % ของน้ำหนักผ้า
                สบู่เทียม                                     0.5     กรัม/ลิตร
                โซดาแอส                                                     1      กรัม/ลิตร
                เกลือ                                                       10 - 25   กรัม/ลิตร
ละลายสีด้วยน้ำร้อน 60 - 70 องศาเซลเซียล  จำนวนเล็กน้อย  เทลงในอ่างย้อม ใส่สบู่เทียม โซดาแอส และ เกลือ  เติมน้ำให้ครบจำนวน  แช่ผ้าในอ่างย้อมประมาณ 30 นาที  แล้วนำไป develop ต่อไป
     การเตรียมน้ำยา Developing  เพื่อทำให้เกิดสี
     ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า               =            20 : 1
                กรดกำมะถัน  95 %                                5  ซีซี/ลิตร
                โซดาไนเตรท                                       0.5   กรัม/ลิตร
                Dispersing Agent                         0.5 - 1   กรัม/ลิตร
                (Solegal หรือ Avola. IS)
เอาผ้าที่ย้อมแล้วลงแช่ในอ่างน้ำยานี้  ประมาณ 5 นาที  สีจริงจะปรากฏออกมา  นำไปล้างน้ำให้สะอาดจนหมดกรด  แล้วตากให้แห้ง  นำไปเขียนเทียนเพื่อย้อมสีอื่นต่อไปได้

ค.  การย้อมสี Reactive
     วิธีเตรียมน้ำย้อม  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า  =  20 (L) : 1 (Kg)
                สี Reactive                                               1 - 5    % ของน้ำหนักผ้า
                โซดาแอส                                              10 – 15  กรัม/ลิตร
                เกลือ                                                       50 – 70  กรัม/ลิตร
                ยูเรีย (Urea)                                               1       กรัม/ลิตร
ละลายสีด้วยน้ำอุ่น 50 - 60 องศาเซลเซียล  ใส่เกลือลงไป  เติมน้ำเย็นให้ครบจำนวน ใส่ยูเรียแล้วเอาผ้าลงย้อมนานประมาณ 15 นาที แบ่งโซดาแอสเป็น 2 ส่วน เติมส่วนแรกลงไปนานทิ้งไว้ 10 นาที   จึงเติมส่วนที่สองแล้วย้อมต่ออีก 30 – 60 นาที ตามความเข้มของสีที่ต้องการ  เอาขึ้นซักล้างน้ำจนหมดสี  ตากให้แห้ง  การย้อมสี Reactive เป็นสีแรกจะได้สีอ่อน  สีต่อไปอาจเปลี่ยนไปใช้สี Azoic หรือ Vat  เพื่อจะได้สีเข้มขึ้นตามต้องการ

ง.  การย้อมสี Azoic  แบ่งวิธีการย้อมออกเป็น 2 ขั้น คือ
                1.  ย้อมแน๊พทอล หรือ การย้อมสีพื้น
                2.  ย้อมสีเกลือ (Fast Color Salt)  ขั้นการทำให้เกิดสี
     การย้อมแน๊พทอล (ย้อมสีพื้น)  ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า   =    20 : 1
                                                                สีเข้ม                      สีอ่อน
                Naphtol AS                          5 - 6                         0.5     กรัม/ลิตร
                น้ำมันแดง (Turkey Red Oil)     ใส่กวนพอให้ผงแน๊พทอลเป็นแป้งเปียก
                โซดาไฟ 38 องศา                12 - 15                      6       กรัม/ลิตร
เกลือแกง                               20                           15       กรัม/ลิตร
                (หมายเหตุ  แน๊พทอล แต่ละตัวถึงแม้จะใช้ปริมาณเท่ากัน  จะให้ความเข้มของสีออกมาไม่เท่ากัน  บางตัวต้องใช้มากถึง 10 กรัม/ลิตร  บางตัวใช้เพียง  1 กรัม/ลิตร ก็พอ  ให้ศึกษารายละเอียด ของแน๊พทอลแต่ละตัวจากคู่มือแนะนำโดยเฉพาะ)
                แน๊พทอลไม่ละลายในน้ำ  ต้องทำให้เปียกด้วยน้ำมันแดง  แล้วเติมโซดาไฟทีละน้อยจนกระทั่งแน๊พทอลเกิดเปลี่ยนแปลง  คือ เปลี่ยนสีจากน้ำข้นๆ เกาะจับกันเป็นก้อนพรุน  เติมน้ำร้อนลงไปประมาณ 2 เท่า  ก็จะกลายเป็นน้ำใส  แล้วเติมน้ำเย็นจนครบจำนวน ละลายเกลือและเติมโซดาไฟที่เหลือลงไปให้หมด  ย้อมที่อุณหภูมิห้อง  ประมาณ 15 นาที แล้วเอาขึ้นให้สะเด็ดน้ำโดยไม่ต้องบิด  นำไปย้อมเกลือสีต่อไป
     การย้อมเกลือสี    ใช้อัตราส่วนน้ำย้อม : ผ้า   =    20 : 1
                เกลือสี                                    10 – 30  กรัม/ลิตร สำหรับสีเข้ม  
                  5  - 10  กรัม/ลิตร สำหรับสีอ่อน
ละลายเกลือสีด้วยน้ำอุ่น  เติมน้ำให้ครบจำนวน  แล้วนำผ้าที่ย้อมแน๊พทอลแล้วลงย้อมเกลือสีที่ละลายแล้วในอุณหภูมิห้อง ประมาณ 10 – 15 นาที  แล้วเอาขึ้นซักน้ำให้สะอาด  ตากให้แห้งเพื่อจะเขียนเทียนต่อไป  ถ้าย้อมสีนี้เป็นสีสุดท้ายของการทำปาเต๊ะ  จะต้องต้มสบู่ให้สะอาดจริงๆ  เพราะเป็นสีที่ทนต่อการขัดถูต่ำมาก


สีที่ใช้จำเป็นต้องใช้สีที่ย้อมเย็นได้  ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภท คือ  Azoic dyes, Vat dyes, Solubilised Vat dyes และ Reactive dyes.  ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติพอสรุปได้ดังนี้ 


1.  Vat dyes  เป็นสีที่นิยมใช้ย้อมผ้าปาเต๊ะกันมาก  เพราะเป็นสีที่มีความทนทานต่อการซัก การขัดถู และทนแดดดี  ทั้งยังให้สีสวยสดใสได้เกือบทุกสี  เป็นสีที่ไม่ละลายในน้ำ  แต่ละลายในด่าง และ Reducing Agent  ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในเส้นใยผ้าได้  และเมื่อย้อมเสร็จนำออกผึ่งลม  สีก็จะถูกอ๊อกซิไดส์กลับเป็นสีเดิมที่ไม่ละลายน้ำติดอยู่ในเส้นใยผ้า  สีนี้จึงทนต่อการซักน้ำดีมาก
   
2.  Solubilised Vat dyes  เป็นสี Vat ที่ละลายน้ำได้  ให้สีที่สด สวยงามมาก  มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับสี Vat ธรรมดา  แต่ให้สีออกมาอ่อนกว่ามาก  เหมาะที่จะใช้เป็นสีพื้นครั้งแรกในการทำผ้าปาเต๊ะหลายๆ สี  เวลาย้อมไม่ปรากฏเป็นสีให้เห็น  จะต้องนำไปแปรสภาพในกรด  จึงเกิดเป็นสีปรากฎออกมา
 
3.  Reactive dyes  เป็นสีที่ละลายน้ำได้ดีเพียงบางสีเท่านั้น  ที่ใช้ย้อมเย็นได้  เช่น สี  Procion M ของ IOI  สีติดเส้นใยโดยปฏิกิริยาโดยตรงระหว่างสีกับเส้นใย  ในสภาวะน้ำย้อมเป็นด่าง  จึงเป็นสีที่มีความทนทานต่อการซักและอื่นๆ ดีมาก  แต่เปอร์เซ็นต์การย้อมติดผ้าน้อย  เนื่องจากเป็นสีที่ไวต่อปฏิกิริยา  สีส่วนหนึ่งจะสูญเสียไปในการทำปฏิกิริยากับน้ำและด่าง   จึงจำเป็นต้องใช้สีจำนวนมากและได้สีค่อนข้างอ่อนเท่านั้น
   
4.  Azoic dyes  สีนี้รู้จักกันทั่วไปว่าสีแนพทอล  เป็นสีที่ใช้ย้อมเส้นใยฝ้ายหรือที่มาจากเซลลูโลส  สีเกาะติดเส้นใยได้โดยปฏิกิริยาของสารเคมี 2 ชนิด  ชนิดหนึ่งเรียกว่า Coupling Component คือ napthol  ซึ่งไม่ละลายในน้ำนอกจากจะมีด่างอยู่ด้วย  อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า  Diazo Component อาจเป็น fast base หรือ fast color salt (เกลือสี) ที่ละลายน้ำได้  การย้อมจึงค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องย้อม 2 ครั้ง  โดยย้อม Napthol ก่อน  แล้วจึงย้อมเกลือสี  ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า Coupling Reaction  ปรากฏเป็นสีออกมา  สีที่ได้จะเป็นสีสด  ส่วนมากจะเป็น สีเหลือง ส้ม แดง และเลือดหมู   สี azoic มีความคงทนต่อการซักน้ำได้ดี  ทนต่อแสงแดดปานกลาง  แต่ไม่ค่อยทนต่อการขัดถู

22 มีนาคม 2557


เส้นใยแต่ละชนิดมีค่าดัชนีหักเหแตกต่างกันเป็นส่วนมาก  แต่เนื่องจากค่าดัชนีหักเหของเส้นใยบางชนิดมีค่าใกล้เคียงกันมาก  วิธีนี้จึงไม่ค่อยนิยม  บางครั้งใช้เป็นข้อมูลประกอบเท่านั้น

วิธีการ
-          ใส่สไลด์ของเส้นใยเข้าในกล้องจุลทรรศน์ ปรับภาพให้ชัด
-          ปิดไดอะเฟรม ไม่ให้แสงมาก (เพื่อดูขอบให้ชัด) ปรับให้วัตถุห่างจากเลนส์  สังเกตุการเคลื่อนที่ของแสงที่ขอบ เส้นใย  แสดงว่าน้ำมันที่หยดมีค่าดัชนีหักเหสูงกว่าเส้นใย  ให้ใช้น้ำมันขวดที่มีค่าดัชนีหักเหต่ำลงมา  ทำเช่นนี้จนกระทั่งเส้นใยและน้ำมันที่หยดมีค่าดัชนีหักเหเท่ากันคือแสงอยู่คงที่ไม่วิ่งเข้าวิ่งออก  ให้อ่านค่าดัชนีหักเหของน้ำมันขวดที่ใช้  จะเป็นค่าเดียวกับค่าดัชนีหักเหของเส้นใย


หมายเหตุ   ตารางด้านบนนี้เป็นตัวเลขที่ได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างและบางโรงงานนำสัดส่วนนี้มาเป็น
              ตัวอย่างขนาดของการทำเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเราไม่ควรซื้อเสื้อผ้า
              สำเร็จรูปตามป้ายระบุอายุบนสินค้า  แต่ให้คำนึงถึงรูปร่างและขนาดของเด็กเป็นสำคัญ


โดยทั่วๆ ไป จุดหลอมเหลวของสาร  ทำได้โดยการเอาสารนั้นใส่ในหลอดแก้ว  เทของเหลวที่มีความจุความร้อนสูง และไม่ทำปฏิกิริยากับสารนั้นลงไป เอาเทอร์โมมิเตอร์จุ่มลงไปในของเหลวนั้น เพิ่มความร้อนให้หลอดแก้ว  ดูอุณหภูมิที่เส้นใยเริ่มหลอม
                ถ้าเส้นใยที่มีจุดหลอมเหลวสูงๆ วิธีที่สะดวกอาจทำได้โดยการใช้ Kofler Hot Stage โดยวางสไลด์เส้นใยลงบนฐาน ปล่อยให้ร้อนมากกว่า 100 องศาเซลเซียล ลดความเร็วลง ดูด้วย Polarize  เมื่อถึงจุดหลอมเหลว ภาพจะมืดอ่านจุดหลอมเหลวบนเทอร์โมมิเตอร์ที่ติดอยู่กับเครื่องเทียบ


(ดู ตารางจุดหลอมเหลวของเส้นใย ได้จากเรื่อง  การทดสอบโดยการหาค่าความหนาแน่นของเส้นใย)


ค่าความหนาแน่นของเส้นใยสามารถใช้ทดสอบหาชนิดของเส้นใย  โดยเฉพาะเส้นใยประดิษฐ์  วิธีหาความหนาแน่นมีหลายวิธี  ที่ง่ายที่สุด คือ ใช้กระบอกที่มีความหนาแน่นระดับต่างๆ กัน เรียงลำดับไว้ประมาณ 10 ชั้น   โดยมีเม็ดแก้วซึ่งทราบความหนาแน่นที่แน่นอนคอยอยู่  ทำให้เราทราบค่าความหนาแน่นในแต่ละชั้น

                วิธีการคือ เอาเส้นใยแต่ละชนิดผูกเป็นปมต้มใน Kylene  2 นาที ใส่ในกระบอกที่เตรียมไว้ครึ่งชั่วโมง  เส้นใยจะไปลอยอยู่ที่ตำแหน่งความหนาแน่นระดับหนึ่ง


ตารางค่าความหนาแน่นของเส้นใย  


                ราคาเสื้อผ้าเด็กนั้น แตกต่างตามวัย, คุณภาพผ้าและวัตถุดิบที่ใช้, แหล่งผลิต, การตัดเย็บประณีตมากน้อย และ แบนด์.  เสื้อผ้าเด็กที่มีราคาสูง เป็นเสื้อผ้าเด็กที่ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี ใช้ผ้าที่เหมาะสม ตะเข็บต่างๆ เรียบร้อยดีมาก  การตกแต่งสวยงาม และมียี่ห้อ (แบนด์)  บางครั้งเพียงแค่ติดแบนด์ที่เป็นที่รู้จักราคาก็อาจสูงขึ้นได้มากหลายเท่าตัว  ยกตัวอย่างเช่น ผ้ากันเปื้อนเด็ก ผ้าคุณภาพเดียวกัน ขนาดและสีแบบเดียวกัน  เพียงแต่ตัวหนึ่งติดแบนด์เป็นที่รู้จัก ราคา 200-270 บาท  ขณะที่อีกตัวไม่มียี่ห้อแต่ลวดลายน่ารัก ราคาเพียง 49-79 บาท จะเห็นได้ว่าราคาต่างกันมากทีเดียว  ราคาส่วนที่ต่างกันนั้น  มาจากค่าลิขสิทธิ์ แบนด์ และค่าขนส่ง  หากแบนด์นั้นเป็นแบนด์จากต่างประเทศ และสินค้าถูกนำเข้า 
       
ปัจจุบันราคาเสื้อผ้าเด็กมีช่วงราคาที่ต่างกัน  เสื้อผ้าที่มีราคาสูง มักพบได้ในร้านค้าใหญ่ที่ขายเฉพาะเสื้อผ้าเด็ก และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

                เสื้อผ้าเด็กที่มีราคาปานกลาง  คุณภาพและการตัดเย็บดีพอควร  ตะเข็บต่างๆ เรียบร้อย  ผ้าที่ใช้มีคุณภาพพอใช้  จะมีบ้างที่ใช้ผ้าไม่เหมาะสม  ราคาส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถซื้อได้  เช่น เสื้อเด็กอ่อนมีราคาประมาณ  39 - 299 บาท หรือ ถ้าเป็นเสื้อผ้าเด็กโตก็จะมีราคาเฉลี่ย 159 - 399 บาท  เสื้อผ้าที่มีราคาปานกลาง จะหาซื้อได้ในร้านค้าที่ขายเฉพาะเสื้อผ้าเด็ก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่มีราคาสูง และตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ

                เสื้อผ้าเด็กที่มีราคาต่ำ   ผ้าที่ใช้ไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก  การตัดเย็บไม่เรียบร้อย  ตะเข็บต่างๆ บางทีไม่มีกันลุ่ย  ราคาถูก  คือ ประมาณ 15 – 110 บาท  แบบ, รูปทรง, เนื้อผ้าและการตัดเย็บไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก  มักจะกองๆ ขาย ตามร้านค้า เล็กๆ หรือ แผงลอยในตลาด หรือ ขายตามตลาดนัดต่างๆ

                เสื้อผ้าเด็กบางชนิดบางแบบ  เราสามารถตัดเองได้  จะได้แบบและความเรียบร้อยของตะเข็บดีกว่าการซื้อ  ผ้าที่ใช้ก็ไม่ยากแก่การตัดเย็บ  เราสามารถหาเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับวัย  สวมใส่สบายตัวได้ด้วย  ส่วนเสื้อผ้าเด็กบางชนิดหรือบางแบบ  ก็ควรจะซื้อเพราะราคาจะถูกกว่า  เช่น กางเกงยีนส์  ซึ่งการตัดเย็บยุ่งยากมาก  ใช้จักรเย็บเฉพาะในบางจุด

;;

By :
Free Blog Templates