17 มีนาคม 2557

การพูดในที่ชุมชน



ความหมาย
                การพูด หมายถึง พฤติกรรม (การแสดงออก) ในการสื่อความหมายของมนุษย์ด้วย การใช้เสียงที่เป็นภาษา โดยการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เช่น อากัปกริยาและท่าทาง เพื่อถ่ายทอดความรู้ความคิดเห็น หรือ ความรู้สึก จากผู้พูด ไปสู่ผู้ฟัง


ความมุ่งหมายในการพูด
                สำหรับการพูดแต่ละครั้ง ผู้พูดต้องเข้าใจวัตถุประสงค์ หรือ ความมุ่งหมาย ของการพูดแต่ละครั้งว่าเพื่ออะไร  เพื่อที่ผู้พูดจะได้เตรียมเนื้อหา และดัดแปลงวิธีพูด หรือใช้เทคนิคในการพูดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว มี 3 ข้อ คือ
1.       เพื่อบอกเล่าหรือให้ข่าวสารความรู้
2.       เพื่อให้ความบันเทิง
3.       เพื่อชักจูงหรือให้คล้อยตาม

ในการพูดทุกครั้ง ไม่ว่าเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ต้องสังวรไว้ว่า ทำอย่างไร จึงจะให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ เข้าใจ ประทับใจ และถูกเร้าใจ

องค์ประกอบในการพูด
1.       ผู้พูด
2.       เนื้อเรื่อง
3.       ผู้ฟัง

1.       ผู้พูด เป็นผู้ที่ต้องแสดงความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ของตนไปสู่ผู้ฟังให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยการรู้จักใช้เสียง  ภาษา อากัปกริยา และบุคลิก ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้เสียง
การออกเสียงในเวลาพูดควรดังฟังชัด แต่ไม่ใช่ตะโกน  รื่นหู แต่ไม่จำเจ คือ ควรมีเสียงหนัก - เบา

การใช้ภาษา
1.       ภาษาที่ใช้ควรเหมาะสมกับสมัยนิยมและฟังเข้าใจง่าย
2.       ควรเป็นภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาอ่าน
3.       ควรเหมาะสมกับโอกาสและระดับของผู้ฟัง
4.       ควรขจัดคำพูดที่ไม่น่าฟังออก
5.       ไม่ควรใช้คำพูดที่ไวต่อความรู้สึก
6.       ไม่พูดคำย่อ
7.       ควรละเว้นคำที่ไม่สุภาพ

อากัปกริยา
อากัปกริยา ได้แก่การยืน (ให้สง่า ราศี ไม่โงนเงน พิง ไหล่ห่อ) เดิน (การพูดเดินได้แต่ให้เดินช้าๆ ไม่เดินทื่อ เร็ว หรือ ร่อน) นั่ง (ตัวตรง) และการใช้ท่าทาง (พยายามสบตาทุกๆคน ให้รู้ว่าไม่ทอดทิ้ง ยิ้มให้ถูกกาลเทศะ ท่าทางไม่ทำซ้ำไปซ้ำมา ไม่เกาคัน ไม่ทำท่าเป็นหมัน)  ต้องให้เป็นสง่าและสุภาพ

ข้อปฏิบัติในขณะที่พูด
1.       การทักทาย - ถ้าเป็นพิธีการ  ไม่นิยมกล่าวคำว่า สวัสดี แต่เราจะใช้ทักตั้งแต่ผู้ใหญ่ในที่นั้น ลดหลั่นไปจนถึงผู้ฟัง เช่น ท่านประธาน, ท่านเกษตรจังหวัด, แขกผู้มีเกียรติและท่านผู้ฟังทุกท่าน  (ขึ้นกับการพูดให้ใครฟัง ถ้าทักหลายกลุ่มใช้ และ ไม่ใช้แล้วก็”)
2.       การออกตัว - ไม่ควรพูดออกตัว เช่น ท่านอธิบดีมาไม่ได้ จึงให้ผมมาแทน และ ผมเพิ่งทราบเมื่อเช้านี้เอง  จึงไม่มีเวลาเตรียมตัว ถ้าขาดตกบกพร่องขออภัยด้วยนะครับ
3.       การพูดเรื่องส่วนตัว - ไม่ควรพูดเรื่องส่วนตัวของผู้พูดมากเกินไป และ ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่ควรกล่าวพาดพิงถึงใครในทางที่ไม่ดี
4.       การให้เกียรติควรยกย่องผู้ฟังตามโอกาสพอสมควร  ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่ควรดูถูกผู้ฟังด้วย (ให้เกียรติซึ่งกันและกัน บอกขอโทษและขอบคุณต่อผู้ฟัง)
5.       การขอบคุณและขอโทษ ต้องรู้จักขอบคุณ  เมื่อผู้ฟังปรบมือให้และขอโทษเมื่อพูดผิดหรือไอ
6.       การควบคุมอารมณ์ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่สบอารมณ์เกิดขึ้นขณะที่พูด ผู้พูดต้องพยายามวางเฉย ไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์นั้น
7.       การรักษาเวลา ไม่ควรพูดเกินเวลา แต่ควรจะเลิกก่อน 5 นาที, 10 นาที หรือ 15 นาที ขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้
8.       การใช้ไมโครโฟน - ไม่ลองไมโครโฟนด้วยการเคาะ หรือ เป่า หรือ ลองพูด และใดๆ , ไม่จับส่วนใดส่วนหนึ่งของไมโครโฟน , ไม่พูดเสียงดังเกินไป , ไม่ควรยืนใกล้หรือไกลไมโครโฟนนานเกินไป , ไม่ควรให้ไมโครโฟนสูงหรือต่ำเกินไป


2.       เนื้อเรื่อง
เนื้อหาก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้พูดประสบความสำเร็จหรือไม่  ดังนั้นผู้พูดจึงควรเลือกเรื่องที่ตนถนัดและมีความรู้ในด้ารนั้นจริงๆ และควรจะมีการตระเตรียม การจัดลำดับและการดำเนินเรื่องที่ดีถูกต้องตามหลักเกณฑ์ คือ เนื้อเรื่องต้องประกอบด้วย
1.       บทนำ
2.       เนื้อเรื่อง
3.       สรุป


3.       ผู้ฟัง
การที่จะเป็นผู้พูดที่ดีนั้น จะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย เพราะปกติแล้วคนเรา เมื่อฟังใครพูดก็ตาม มักจะไม่พยายามฟังให้จบ มีอยู่บ่อยครั้ง ถ้าผู้พูด พูดไม่ตรงกับสิ่งที่ตนรับรู้มา ก็จะคิดตอยโต้ทันที  ทำให้เกิดกังวลที่จะตอบ  โดยไม่ได้ยินว่า เขาดการผิพูดอะไรอีกบ้าง  ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดจับต้นชขปลายไม่ถูก  ดังคำพังเพยที่ว่า ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด  
                       ดังนั้นเราจึงควรฝึกฝนตนเอง ให้เป็นผู้ฟังที่ดี ตามแนวทางนี้ คือ
1.       ฟังด้วยความสนใจ
2.       ฟังผู้พูดทุกคน
3.       ฟังให้เข้าใจความหมาย
4.       ฟังโดยสังเกตอย่างถี่ถ้วน
5.       ฟังด้วยความอดทน
6.       ฟังโดยไม่คิดโต้ตอบขณะฟัง
7.       ฟังโดยไม่ถือการเล่นสำนวนเป็นใหญ่
8.       ฟังเพื่อหาข้อตกลง ทำความเข้าใจให้ตรงกัน
9.       ฟังด้วยจิตว่างปราศจากอคติ


ประเภทการพูด
                                การพูดมีอยู่มากมายหลายประเภท  แต่ที่ใช้กันทั่วไป มี 4 ประเภท คือ
1.       ประเภทกลอนสด (Impromtu)
2.       ประเภทจดแต่หัวข้อมาพูด (Extemporaneous)
3.       ประเภทท่องจำ (Memorized)
4.       ประเภทจดมาอ่านหรืออ่านจากต้นฉบับ (Manuscripted or Written and Read)


ขั้นตอนการเขียนเพื่อเตรียมการพูด
                ขั้นตอนของการเขียนต้นฉบับเพื่อเตรียมการพูดนั้น  แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

                ขั้นที่  1  เรียก Foolscap Phase  คือ หลังจากคิดหัวข้อที่จะพูดได้แล้ว ว่าจะพูดเรื่องอะไร ก็เตรียมตัวหาข้อเท็จจริง และข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งข้อคิดเห็น ว่าจะพูดอย่างไร แค่ไหน มาปะติดปะต่อกัน แล้วบันทึกไว้ทั้งหมด
                ขั้นที่  2  เรียก Quarts Phase  ศึกษาเรื่องที่บันทึกไว้ในชั้นที่หนึ่ง ว่าจะไปพูดให้คนประเภทใดฟังภายในเวลาที่กำหนดไว้ แล้วย่อมาเฉพาะเนื้อหาสาระที่สำคัญจากข้อความทั้งหมด มาจัดลำดับให้หัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยมีความสัมพันธ์กัน

                ขั้นที่  3  เรียก Postcard Phase หลังจากการเตรียมการ ขั้นที่  1  และ ขั้นที่  2 เรียบร้อยแล้ว ผู้พูดต้องการเพียงแต่ cutline หรือ หัวข้อใหญ่ๆ เท่านั้น ในขั้นนี้จึงเป็นขั้นที่ลอกเฉพาะหัวข้อใหญ่ลงในกระดาษขนาด postcard เขียนตัวโตชัดเจน เพื่อจะมองเห็นได้ชัดขณะที่พูด ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะสามารถพูดออกมาได้ จากประสบการณ์และความรู้ที่มี


มารยาทในการเข้าพบชุมชน
                สิ่งที่ควรคำนึงถึง 2 ประการ คือ
1.       บุคลิกลักษณะ
2.       จรรยามารยาท
               
                บุคลิกลักษณะ  คือ ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งทำให้บุคคลมีลักษณะกริยา ท่าทาง ผิดกับบุคคลอื่น ความประพฤติย่อมเป็นสิ่งซึ่งแสดงถึงบุคลิกลักษณะของบุคคล คนที่มีบุคลิกลักษณะดีย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมในชุมชน

                การที่จะส่งเสริมบุคลิกลักษณะให้ดีขึ้นนั้น อาจจะกระทำได้โดย การเลือกสรร คุญลักษณะที่ได้รับความนิยมในชุมชน  แล้วนำมาฝึกปฏิบัติในลักษณะนั้นให้เพิ่มพูนเจริญยิ่งขึ้นในตัวเรา

จรรยามารยาท  คือ หลักความประพฤติที่ดีงาม ความสุภาพเรียบร้อยทั้งกริยาและวาจา 

นอกจากนั้น การแต่งกายก็ควรให้สะอาด สุภาพ เรียบร้อย ถูกต้องตามกาลเทศะ

หลักธรรมในการเข้าชุมชน
1.       ทาน ได้แก่ การให้ปันสิ่งของของตนแก่ผู้ที่ควรได้รับ
2.       ปิยวาจา ได้แก่ การเจรจาด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน
3.       อัตถจริยาได้แก่ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
4.       สมานัตตาได้แก่ การวางตนสม่ำเสมอไม่ถือตัว

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

By :
Free Blog Templates