11 มีนาคม 2557
เมื่อก่อนเสื้อผ้าเด็กมีอยู่ไม่กี่ชิ้น เป็นแบบง่ายๆ เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เช่น ในสมัย 80 – 90 ปีก่อน
เด็กไทยสวมผ้านุ่งหรือผ้าโจงกระเบน ห่มผ้าสไบ หรือใส่เสื้อคอกระเช้า เด็กตะวันตกก็แต่งตัวเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ได้แก่ ชุดติดกัน กระโปรงจีบฟู รัดเอว ซึ่งลักษณะเสื้อผ้าดังกล่าวนี้ บางทีก็ไม่เหมาะสมกับวัยและกิจกรรมของเด็ก
ปัจจุบัน การตัดเย็บมีการพัฒนามากขึ้น เสื้อผ้าเด็กมีมากแบบเพื่อใช้ในโอกาสต่างๆ นักออกแบบออกแบบเสื้อผ้าเด็กคู่ไปกับเสื้อผ้าผู้ใหญ่ มีอุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าเด็กกันมากทั้งในและนอกประเทศ การติดต่อสื่อสารรวดเร็วขึ้น
เสื้อผ้าเด็กจึงมีแบบเหมือนหรือคล้ายคลึงกันทั่วโลก
พ่อแม่บางรายอาจไม่คำนึงถึงเรื่องของเสื้อผ้าเด็กมากนัก เพราะคิดว่าไม่สำคัญ
แต่แท้ที่จริงแล้วเสื้อผ้าเด็กมีผลต่อพัฒนาการของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ตัวอย่างง่ายๆ คือ
ถ้าให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือคับเกินไป
จะทำให้เด็กเกิดความรำคาญกลายเป็นเด็กหงุดหงิดหรือในบางครั้งการเลือกซื้อเสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่เกินไป เพราะคิดว่าเด็กโตเร็ว ซื้อเผื่อโตไว้มากๆ เด็กเกิดความกังวล เสื้อผ้าหลวมเกรงว่าจะหลุด เดินหลังงอเพื่อพยุงกางเกงไว้ ทำให้เสียบุคลิกเสียพัฒนาการ เด็กเคลื่อนไหวไม่สะดวก อาจมีผลให้เด็กเดินและยืนได้ช้า ทำให้เด็กไม่มั่นใจในตัวเอง หงุดหงิดไม่พอใจ
แบบและสีของเสื้อผ้ามีผลต่ออารมณ์ของเด็กได้เช่นกัน ควรพิจารณาซื้อโดยคำนึงถึงด้านต่างๆ
มิใช่เลือกเพราะสวยถูกใจแต่อย่างเดียว
ควรพิจารณาในแง่ประโยชน์ใช้สอย คือ สวมสบาย
สะดวกในการเคลื่อนไหวและดูแลรักษา
ทนทานใช้ได้คุ้มค่า
พิจารณาให้ความสำคัญต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัว โดยการวางแผนจัดการเรื่องต่างๆ
ร่วมกันระหว่างพ่อแม่และเด็ก
จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว มีความพอใจที่จะรับผิดชอบเรื่องต่างๆ
วิธีการนี้ก็ใช้ได้ดีในเรื่องการวางแผนเสื้อผ้าเช่นกัน
การศึกษาเรื่องเสื้อผ้าเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยแรกรุ่น
( อายุ 0 – 12 ปี
) จะอำนวยประโยชน์ต่อคนหลายอาชีพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่บ้านผู้ดูแลเกี่ยวกับความสุขสบายของสมาชิก รวมทั้งการใช้ความรู้ด้านนี้จัดเสื้อผ้าเด็กได้อย่างเหมาะสม
นักออกแบบและนักอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าเด็กควรศึกษาเรื่องเสื้อผ้าเด็ก
เพื่อจะได้ผลิตเสื้อผ้าได้อย่างเหมาะสมกับวัยและกิจกรรม
รวมทั้งเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของเด็กด้วย โดยเฉพาะการส่งออก จำเป็นต้องศึกษากฎระเบียบ,
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศนั้นๆ
เป็นสำคัญ
นักส่งเสริมด้านคหกรรมศาสตร์จะนำความรู้นี้แนะแนวให้แก่แม่บ้านเพื่อการตระเตรียมที่ถูกต้อง
นอกจากนั้นครูชั้นเด็กเล็กจะเข้าใจเด็กได้ดีขึ้น เมื่อได้เรียนรู้ถึงความสามารถในการแต่งกายของเด็กในวัยต่างๆ
นักการศึกษาหรือผู้เกี่ยวข้องกับเครื่องแบบนักเรียนที่มีความรู้เกี่ยวกับแบบและสีของเสื้อผ้าที่เหมาะสม
จะกำหนดเครื่องแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการสวมใส่ การดูแลรักษาและเหมาะสมกับกิจกรรมของเด็กในวัยเรียนและวัยก่อนเรียน
เสื้อผ้าเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย
ในสมัยเริ่มแรก เสื้อผ้าเพื่อความจำเป็นทางร่างกาย เช่น
เพื่อปรับความร้อน-หนาว ป้องกันอันตราย ฯลฯ
บ้านเราเป็นเมืองร้อน
ควรสวมใส่เสื้อผ้าเพียงรักษาอุณหภูมิในร่างกาย แต่ไม่ใช่ว่าไม่ใส่เสียเลย เสื้อผ้าหน้าร้อน
ควรเป็นแบบหลวม ผ้าซับเหงื่อได้ดี เนื้อผ้าโปร่งเบา ระบายอากาศได้ดี
และซักง่าย ผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด
ใส่สบายที่สุด แต่ยับง่าย ปัจจุบันจึงใช้ผสมกับใยสังเคราะห์
(โดยมากมักเป็นโพลีเอสเตอร์)
ทำให้ไม่เสียเวลารีดมาก
ไม่ยับและมีรูปทรงดี
เมื่อใส่แล้วไม่ร้อนเหนอะหนะตัวเกินไป
ควรซักเสื้อผ้าทุกวัน
จะได้ไม่หมักหมมสิ่งสกปรก
ในเวลาอากาศหนาวเย็น เด็กต้องการเสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่น แต่ไม่ควรให้สวมเสื้อผ้าหนาหนักเกินไปจนร่างกายทานน้ำหนักไม่ไหว ทำให้อึดอัด ไหล่ค่อม
การให้ใส่เสื้อผ้าหนาเกินไป
เด็กบางคนเหงื่อออกเร็วทำให้เสื้อชื้น อาจเป็นหวัดได้
เสื้อผ้าบางๆ หลายๆ ชั้น
สามารถให้ความอบอุ่นได้ดี
เพราะอากาศระหว่างชั้นจะทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันความหนาวเย็น และเก็บความอบอุ่นของร่างกายไว้
และเมื่ออากาศภายนอกอบอุ่นขึ้นก็สามารถถอดออกได้ทีละชิ้น
เด็กจะไม่ต้องกระทบกับความหนาวเย็นรวดเร็วเกินไป
ผ้าฝ้ายไม่ว่าจะเป็นแบบทอลายหรือถักนิต
สามารถทำให้หนาขึ้นได้ด้วยการตะกุยขน เช่น ผ้าสำลี ทำให้อบอุ่นทั้งที่มีน้ำหนักเบา ผ้าฝ้ายที่เนื้อหนามากๆ จะหนักโดยที่ไม่ช่วยให้อบอุ่นมากขึ้นเท่าใดนัก
ผ้าขนสัตว์ให้ความอบอุ่นดีกว่าผ้าฝ้าย
และมีน้ำหนักเบากว่า แต่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะราคาแพงและดูแลรักษายาก และเด็กบางคนอาจแพ้ขนสัตว์
เนื่องจากเส้นใยระคายผิวทำให้เกิดผื่นคัน
เส้นใยสังเคราะห์ที่ทำเทียมขนสัตว์
ได้แก่ อะครีลิค (Acrylic) มีคุณสมบัติให้ความอบอุ่นได้ดี
และดูแลรักษาง่ายกว่า
(แต่โดยความเห็นส่วนตัวผู้เขียน เสื้อผ้าที่ผลิตจากอะครีลิค
ให้ความอบอุ่นได้ดีในระดับหนึ่ง คือ
ถ้าอุณหภูมิไม่เกินกว่า 12-15 องศาเซลเซียล แต่ถ้าต่ำกว่านั้นเอาไม่อยู่ ควรเป็นขนสัตว์ หรือ ผ้าบุเส้นใยอื่นๆ หรือ
ทั่วไปเรียก บุนวม)
อันตรายของเสื้อผ้า
เกิดจากการใช้เสื้อผ้าด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น เชือกผูกคอจนแน่น ใช้เข็มกลัดแล้วแทงถูกเนื้อเด็ก เสื้อผ้าติดไฟ
ฯลฯ
อันตรายที่เกิดขึ้นบ่อยและอาจลุกลามได้คือ
โรคผิวหนัง เด็กหลายคนเป็นโรคผิวหนัง
เนื่องจากแพ้สารที่ใช้ทำเส้นใยผ้าหรือสารที่ฉาบผ้า เด็กจำนวนมากแพ้สารซักฟอก เมื่อแรกอาจเป็นนิดหน่อย แต่ถ้าขาดความเอาใจใส่อาจลุกลามได้
ควรป้องกันโดยซักเสื้อผ้าทุกชิ้นให้สะอาดก่อนให้เด็กใส่ เสื้อผ้าที่ซื้อใหม่ซักเสียก่อนให้แน่ใจว่าสะอาดจริงๆ
และซักน้ำหลายๆ ครั้ง จนหมดฟองก่อนตาก
การติดไฟ ผ้าใยสังเคราะห์หลายชนิดติดไฟง่าย นอกจากจะได้ผ่านกรรมวิธีป้องกันการติดไฟ
เสื้อผ้าเด็กที่ผลิตในหลายประเทศผ่านกรรมวิธีแบบนั้น แต่ในบ้านเรายังไม่มีกฎหมายบังคับใช้ (เสื้อผ้าราคาสูงบางแบบ อาจจะมี โดยดูได้จากป้ายจะมีระบุไว้) อย่างไรก็ตาม,
เราสามารถป้องกันได้โดยให้เด็กสวมเสื้อผ้าที่ติดไฟยากทับเสื้อติดไฟง่าย เพราะอาจพลั้งเผลอถูกไม้ขีดหรือบุหรี่แล้วติดไฟขึ้น
เสื้อผ้าฝ้ายเหมาะที่สุดสำหรับเด็ก
เส้นใยโพลีเอสเตอร์ติดไฟได้ยากกว่าไนล่อน
ผ้าฝ้ายผสมใยโพลีเอสเตอร์พอใช้ได้สำหรับเด็ก
ผ้าฝ้ายติดไฟง่ายพอสมควร แต่ดับแล้วเป็นขี้เถ้า ใยสังเคราะห์ติดไฟแล้วละลายเยิ้มและหยดเป็นเม็ด ถ้าสวมใส่อยู่อาจติดหนึบกับผิวหนัง ทำให้ปวดแสบปวดร้อน
เราสามารถทำน้ำยาป้องกันผ้าติดไฟโดยทำเองในบ้าน คือ สารละลายบอแรกซ์ (Borax) 7 ช้อนโต๊ะ, บอริคแอซิค
(Boric Acid) 3
ช้อนโต๊ะ ละลายในน้ำอุ่น 1 ลิตร จุ่มเสื้อที่ซักสะอาดแล้ว
แช่ไว้ให้ชุ่ม ½ ชั่วโมง ตากโดยการแขวน สัดส่วนนี้ใช้ได้กับเสื้อเด็กแขนยาว 1 ตัว
แต่ใช้ได้ดีกับผ้าฝ้ายเท่านั้น
ข้อเสียคือ Borax อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ดังนั้น ควรใช้กับผ้าชิ้นนอกแบบสวมทับ
เพื่อไม่ให้โดนผิวหนังโดยตรง
แต่เมื่อนำมาซักอีกครั้ง, คุณสมบัตตินี้จะหมดไป ไม่เหมาะกับเสื้อผ้าที่ต้องซักบ่อยๆ
พัฒนาการของเด็กในการแต่งกาย
ในการจัดหาเสื้อผ้าจำเป็นต้องทราบระยะการเจริญเติบโตของเด็กด้วย ในช่วง 18
เดือนแรก เด็กจะเติบโตเร็วมาก ระยะ 3
– 5 ขวบเจริญเติบโตเร็วในทางสูง ระยะ 6-
9 ขวบ
อัตราการเติบโตช้าลงเล็กน้อย อายุ 9 – 11 ขวบ อัตราการเติบโตช้ามาก
นอกจากเด็กบางคนที่เริ่มวัยรุ่นจะโตเร็วด้วย เด็กอายุ 11 ปีขึ้นไปจะเติบโตมาก จนถึงอายุ
17 – 18 ปี อัตราการเติบโตจะเริ่มช้าลง
โดยทั่วๆ ไป เด็กหญิงจะโตเร็วกว่าเด็กชาย 1 ปี เช่น เด็กหญิงอายุ 9 ปี จะโตเท่าๆ กับเด็กชายอายุ 10 ปี
การฝึกฝนสุขนิสัยของเด็ก ซึ่งรวมทั้งการรักษาความสะอาดของร่างกายและผม
การแต่งตัวและการเก็บเสื้อผ้าของใช้ให้เป็นระเบียบ เป็นการสร้างพื้นฐานนิสัยที่ดี เพื่อเด็กจะเติบโตมีชีวิตที่ดีต่อไป ในการที่จะฝึกเด็กแต่งตัวได้เองนั้น ควรเลือกจัดเสื้อผ้าที่เด็กจะช่วยตนเองได้ตามความสามารถแต่ละวัย
Gesell (แพทย์คนหนึ่ง)
ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับความสามารถของเด็กในการแต่งกายและเขียนไว้ในหนังสือ The
Child from Five to Ten ดังนี้
อายุ 1 ปี
ร่วมมือในการแต่งกายได้บ้าง เช่น สอดแขนเข้าแขนเสื้อ ยืดขาให้สวมกางเกง ชอบถอดหมวก รองเท้า กางเกง
อายุ 1 ½ ปี ร่วมมือในการแต่งกายดีขึ้น ถอดหมวก ถุงเท้าได้เอง รูดซิปออกได้
สวมรองเท้าได้เอง
อายุ 2 ปี แต่งตัวเองได้บ้าง
แต่บางทีสอดขาทั้งสองข้างเข้าไปในขากางเกงขาเดียวหรือสวมเสื้อกลับ
อายุ 2 ½ ปี สวมเสื้อผ้าได้เองโดยมารดาวางไว้ให้เป็นชุด แม้ว่าบางทีไม่ถูกต้องนัก
ต้องการความช่วยเหลือบ้าง
อายุ 3 ปี เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตัวเองรวดเร็วขึ้น
ต้องการความช่วยเหลือโดยวางเสื้อผ้าไว้ให้เป็นชุด
สามารถปลดกระดุมหน้าและข้างได้เอง
ยังไม่สามารถแยกได้ว่าด้านไหนเป็นด้านหน้าและหลัง
อายุ 4 ปี เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ถ้ามารดาวางให้เป็นชุด ติดกระดุมหน้าได้เอง ผูกเชือกรองเท้าได้
อายุ 5 ปี แต่งตัวได้เอง
ติดกระดุมหน้าได้เอง
ไม่ค่อยระมัดระวังรักษาเสื้อผ้า
อายุ 6 ปี แต่งตัวได้เอง ชอบแต่งตัวแต่ไม่ค่อยระมัดระวังรักษาเสื้อผ้า มักทำเครื่องประกอบเครื่องแต่งกายหาย
อายุ 7 ปี แต่งตัวได้เอง
เมื่อจัดเสื้อผ้าไว้ให้
เด็กหญิงรักษาความสะอาดเสื้อผ้าได้ดีขึ้น
ขณะที่เด็กชายชอบแต่งตัวขมุกขมอม
อายุ 8 ปี แต่งตัวได้เอง
เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่เอง เด็กบางคน(ส่วนมากเด็กหญิง) ดูแลเสื้อผ้าได้ดี รู้จักบอกว่าเสื้อผ้าชำรุด เด็กส่วนมากมักปล่อยให้เสื้อผ้าสกปรก ฉีกขาด
และแต่งกาย ไม่เรียบร้อย
อายุ 9 ปี แต่งตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังไม่รู้จักเก็บเสื้อผ้าให้เป็นที่ สามารถทำผมเองได้
อายุ 9 - 12 ปี มีพัฒนาการเต็มที่ สำหรับแต่งกาย
จากการสังเกต อาจกล่าวได้ว่า
เด็กผู้หญิงช่วยตัวเองได้ดีกว่าเด็กผู้ชายที่อายุเท่ากัน เด็กบางคนสามารถใส่กระดุมได้เองตั้งแต่อายุ 2 ½ ปี
แบบเสื้อสำหรับเด็กเล็ก
ควรเป็นแบบสวมใส่ง่าย
แยกออกได้เป็นหน้าและหลัง ติดกระดุมข้างหน้า ขนาดกระดุมพอควร คือ ประมาณ ½ นิ้ว รังกระดุมแบบง่ายๆ และหลวมพอประมาณ จะช่วยให้เด็กแต่งตัวได้เอง
ไม่ต้องคอยพึ่งผู้อื่น
จัดเสื้อผ้าเด็กให้หาง่าย เช่น
แขวนไว้ด้วยกันเป็นชุด มีความอดทนในการฝึกฝนให้เด็กแต่งตัวได้เอง พ่อแม่หลายคนจำเป็นรีบร้อนออกจากบ้าน
จึงเร่งให้ลูกแต่งตัวเร็วๆ เมื่อไม่ทันเลยช่วยใส่ให้เสียเอง เด็กจะเกิดความเคยชินรอให้ช่วยอยู่เรื่อย วิธีแก้ปัญหาคือ ตื่นให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อให้เวลาแต่งตัวมากขึ้น
ให้คำชมเชยและกำลังใจเด็กอยู่เสมอ จะช่วยให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตนเอง
และสามารถทำสิ่งที่ยากขึ้นได้
การวางแผนเสื้อผ้าเด็ก
การเป็นผู้บริโภคที่ดีนั้นต้องเรียนรู้และฝึกฝนไม่น้อยกว่าอาชีพอื่น แม่บ้านต้องรู้เท่าทันเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจตกต่ำ ฯลฯ เหล่านี้จะช่วยให้ปรับตัวได้ทัน การศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ
จะนำมาใช้เป็นข้อตัดสินใจในการจัดงบประมาณ การเลือกซื้อ การใช้สอย
อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้จ่ายค่าเสื้อผ้าขึ้นอยู่กับรายได้ของครอบครัว
สภาพสังคม สถานการณ์บ้านเมือง ควรพิจารณาถึงความต้องการทั่วไป ได้แก่ ดินฟ้าอากาศ
กิจกรรมต่างๆ
ศึกษาเกี่ยวกับความเหมาะสมของเสื้อผ้า ความทนทาน ประโยชน์ใช้สอย
การดูแลรักษาเพื่อการตัดสินใจ ชั่งใจตนเองว่าระหว่างการซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูป
การจ้างช่างตัด และเย็บเอง
ถ้ามีเวลาและฝีมือพอสมควร การตัดเย็บเสื้อผ้าเองจะประหยัดกว่า แต่เสื้อผ้าบางแบบ เช่น กางเกงสำหรับเด็กชาย
เสื้อแจ็คเกต ตัดเย็บยากต้องใช้ฝีมือมาก อาจไม่คุ้มถ้าจะตัดเอง
แบบเสื้อควรเป็นแบบที่สามารถดัดแปลงได้ เพื่อให้ใส่ได้นาน
ซื้อผ้าเพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซม ซื้อกระดุมเผื่อไว้บ้าง
เมื่อหลุดหายไปยังมีติดซ่อมได้
หาแหล่งที่ซื้อของที่มีคุณภาพดี
ราคาถูก หาวิธีซื้อของให้ถูกลง โดยรวมกันซื้อจำนวนมาก
การฝึกเด็กให้รับผิดชอบการใช้จ่ายค่าเสื้อผ้าบ้าง จะช่วยให้เด็กเอาใจใส่เรื่องเสื้อผ้าของตนมากขึ้น เด็กอายุ 8
ขวบ
สามารถรับผิดชอบการใช้จ่ายซื้อของเล็กๆ น้อยๆ เช่น ถุงเท้า โบว์ ผ้าเช็ดหน้า
ฯลฯ โดยให้จัดงบประมาณของตนเอง เมื่ออายุ 11
– 12 ปี
ให้เงินค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นให้มีส่วนรับรู้การวางแผนเสื้อผ้าของครอบครัว สอนให้เลือกแต่งกายว่าอย่างไรดี – ไม่ดี หัดให้ซ่อมแซมเสื้อผ้าของตนเอง
การสอนให้เด็กได้ทราบสถานภาพทางเศรษฐกิจของครอบครัว ของท้องถิ่น และของชาติ
จะช่วยให้เด็กรับผิดชอบต่อสังคมเมื่อเติบโตขึ้น
Subscribe to:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น