11 มีนาคม 2557
เสื้อผ้าที่ดี มีรสนิยมดี
จะต้องมีลักษณะที่เรียบ (Simple) สวมสบาย (Comfortable) และเหมาะแก่การใช้สอย (Functional) ดังนั้นไม่ว่าจะออกแบบเสื้อให้ใครก็ตาม จะต้องพิจารณาถึงหลักดังกล่าวเป็นสำคัญ
การออกแบบเสื้อผ้า
แบบที่ดีจะต้องมีความสัมมพันธ์กันระหว่างหลักศิลปขององค์ประกอบต่างๆ
(Principles of
Composition) คือ
Balance - สมดุล
Proportion - สัดส่วน (และขนาด – scale)
Rhythm -
จังหวะ หรือ ความต่อเนื่อง (continuity)
Dominance - จุดเด่น หรือ Emphasis หรือ Center of Interest
ทั้งหมดนี้ให้กลมกลืนกัน โดยคำนึงถึงหลักศิลปะ (Art Flements) คือ
Line - เส้น
Form and Shape - รูปทรง และ รูปร่าง
Space - พื้นที่
Color - สี
Texture - ผิวสัมผัส เช่น หยาบ, ละเอียด, เรียบ, มัน, ด้าน ฯลฯ
สมดุล (Balance)
ในการออกแบบทุกๆ อย่าง ต้องให้มีความสมดุล
คือมีความรู้สึกมั่นคง (มักใช้คำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า rest or repose) การออกแบบให้สมดุล ทำได้หลายวิธี
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ formal หรือ bisymmetric balance
คือ ทั้งสองข้างเหมือนกันและเท่ากัน จะให้ความรู้สึกที่เคร่งขรึม สง่า
ดูเป็นงานเป็นการ เช่น กระเป๋าเหมือนกัน 2 ข้าง
อีกวิธีหนึ่ง คือ informal หรือ asymmetric
balance ทั้งสองไม่เหมือนกัน แต่มีความสมดุล จัดได้ยากกว่า formal balance แต่จะให้ผลที่ดูสวยงามกว่า
ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงมีพลัง
ดูเป็นธรรมชาติและลำลอง
Perpendicular Balance คือ สมดุลในแนวตั้ง ในการแต่งกาย ต้องให้เกิดสมดุลในแนวตั้งด้วย เช่น กระโปรงซึ่งอยู่ส่วนล่าง เป็นฐานรองรับ
จะต้องมีขนาดและน้ำหนัก (ในแง่ของหลักศิลป)
ไม่น้อยกว่าเสื้อ เช่น
เสื้อสีเข้มตัวใหญ่ กระโปรงสีอ่อนตัวเล็ก
จะดูส่วนบนหนักกว่า ฯลฯ
สมดุลอีกอย่างคือ สมดุลโดยรอบ (Radial Balance) มักไม่ใช้กับเสื้อผ้าแต่ใช้ในการตกแต่งหรือเครื่องประดับ
ไม่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง
สมดุลที่ดีต้องให้สัมพันธ์กันทุกส่วน คือ สมดุลทั้ง 2 ข้าง และ
สมดุลในแนวตั้งด้วย
เด็กที่ขายาวเก้งก้างที่สวมกระโปรงสั้นเกินไป นอกจากดูสัดส่วนไม่ดีแล้ว
ยังดูเสียสมดุลอีกด้วย
สัดส่วน (Proportion) และ ขนาด (Scale)
เป็นสิ่งสำคัญมากในการออกแบบไม่ว่า จะใช้ในการเลือกลวดลายผ้า ความยาวของเสื้อผ้า
และ อื่นๆ
การแบ่งสัดส่วนอย่างไม่เท่ากันสวยกว่าการแบ่งเท่าๆ กันทุกส่วน แต่ไม่ควรให้แตกต่างมากเกินไป
จังหวะ (Rhythm) หรือ ความต่อเนื่อง (continuity)
คือ
ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวให้ต่อเนื่องกันตลอด
ทำให้เกิดขึ้นได้หลายแบบด้วยกัน
เช่น การใช้สี
(ใช้สีตรงข้ามไล่อ่อนแก่)
รูปร่าง หรือ ลวดลายซ้ำๆ กัน เช่น กระโปรงพลีทรอบตัว
การใช้เส้น หรือลวดลายซ้ำกันแต่เพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ
เป็นการสร้างจังหวะอีกวิธีหนึ่ง
เราเรียกว่า gradation
(ไล่ขนาดกัน)
Radiaiton เป็นการสร้างจังหวะที่กระจายออกไปจากจุดศูนย์กลาง
จุดเด่น (Dominance) หรือ Emphasis หรือ Center of
Interest
แบบเสื้อที่ดีต้องมีจุดเด่นที่แห่งหนึ่ง และส่วนอื่นๆ มีลักษณะรองลงไปตามลำดับ เสื้อที่ตกแต่งมากเกินไป ทำให้ดูด้อยค่าได้ เช่น ถ้าใช้จุดเด่นที่การเน้นจังหวะ สัดส่วนไม่ควรเน้น
เส้น (Line)
เป็นส่วนสำคัญในการออกแบบ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
เส้นตรง และ เส้นโค้ง
เส้นตรงจะให้ความรู้สึกที่แข็ง มั่นคง
ในขณะที่เส้นโค้งให้ความรู้สึกอ่อนไหว
อัตราของความโค้งมีต่างๆ กัน
ซึ่งจะให้ความรู้สึกต่างกันไปด้วย
เช่น โค้งน้อยๆ ดังก้านดอกไม้ ให้ความรู้สึกอ่อนสลวย โค้งมากจนกลม ฟูฟ่อง
จะให้ความรู้สึกเบาเหมือนจะลอยได้ เป็นต้น
ทิศทางของเส้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันไปเช่นกัน
เส้นแนวตั้ง
ให้ความรู้สึกที่แข็ง มั่นคง
และทำให้ดูสูงขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น เสื้อลายทาง และยังพรางตาด้านความสูงและความกว้าง
เส้นแนวนอน
เปรียบเทียบกับเส้นขอบฟ้า หรือ
น้ำนิ่ง จะให้ความรู้สึกสงบ คลายกังวล สุภาพ และยังทำให้ดูกว้างขึ้นด้วย
เส้นแนวเฉียง
เปรียบเทียบกับรูปร่างของคนเวลาเคลื่อนไหว
ดูเหมือนว่าจะไม่มั่นคง
แต่ถ้าใช้อย่างถูกต้อง
จะให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉง ว่องไว
เส้นแนวเฉียงที่ทำมุมขึ้น ( \/ )
จะให้ความรู้สึกมีพลัง และทำให้ลวงตาว่าสูงขึ้น เส้นแนวเฉียงตกลง ( /\ ) จะให้ความรู้สึกหดหู่ ไม่มีชีวิตชีวา และดูเตี้ยลง
รูปทรง และ รูปร่าง (Form and Shape)
แบบที่ดีจะต้องมีความกลมกลืนกันของรูปร่างของส่วนต่างๆ
ที่นำมาประกอบกัน เช่น ปกเสื้อกับกระเป๋าเสื้อควรจะมีรูปร่างที่กลมกลืนกัน ปกแหลมมากๆ จะดูไม่ได้เลย เมื่อประกอบกับกระเป๋ารูปโค้งมน ถ้ามีการปักลงบนส่วนของเสื้อผ้า ควรใช้ลวดลายที่สัมพันธ์กับส่วนต่างๆ
ของเสื้อผ้านั้นด้วย
สี (Color)
เมื่อเลือกสีเสื้อผ้า ควรพิจารณา สีผิว สีผม
และสีตา ร่วมกันไปกับรูปร่างและบุคลิก
ไม่ควรให้เสื้อผ้าข่มตัวผู้สวมใส่
คนที่ดูเรียบร้อยจะดูสวยงามในเสื้อผ้าสีอ่อนหวาน ในขณะที่คนที่ซุกซนควรสวมเสื้อผ้าสีสดใส หลีกเลี่ยงสีทึมทึบ หม่นมัว
เพราะจะทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกหม่นหมองไปด้วย
กิจกรรมของคนก็มีส่วนในการพิจารณาเลือกสีเสื้อผ้าเช่นกัน
เสื้อใส่เล่นมักจะมีสีสดใสกว่าเสื้อที่ใส่ไปโรงเรียน
การใช้สีตรงข้ามด้วยกันเป็นการเพิ่มความสวยงามแก่เสื้อผ้า ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความจัดของสี (intensity) และความทึบหรือสว่าง (value) ของสี
ที่จะใช้ด้วยกัน
ผิวสัมผัส (Texture)
คือความหยาบ หรือเรียบเนียนของผ้า ซึ่งนอกจากจะสัมผัสด้วยร่างกายแล้ว สายตาให้ความรู้สึกสัมผัสแตกต่างกันด้วย ผิวสัมผัสของผ้าเกิดขึ้นได้จาก เส้นใย
การทำเป็นเส้นด้าย การทอ การตกแต่ง ต่างๆ
ผ้ากับผิวสัมผัส
เลือกผ้าที่มีผิวสัมผัสเหมาะสมกับวัยและกิจกรรม
เด็กอ่อน
เลือกผ้าเนื้อนุ่ม ละเอียด เช่น
ผ้าบาทิส
(batiste ร้านผ้าเรียก
ปิรามิด)
เด็กวัยก่อนเรียน เลือกผ้าเนื้อหยาบขึ้นนิดหน่อยได้ เช่น ผ้าฝ้าย Poplin ผ้าตาเล็กๆ (gingham)
และ ผ้ามัสลิน
ผ้าเนื้อหนากว่านั้น เช่น ผ้า serge เนื้อแน่น ผ้า tweed
และอื่นๆ ไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้
แต่ถ้าเป็นการนำมาตกแต่งเล็กๆน้อยๆ ก็ทำได้
ผ้ากำมะหยี่ (velvet) ผ้าต่วน (satin)
ผ้ายก และ ผ้าสวยงามต่างๆ อาจสร้างความระคายเคืองต่อผิวเด็ก แต่ก็ใช้ในเมื่อนำมาตกแต่งในที่บางแห่ง เช่น โบว์ที่เอว หรือ โบว์ผูกผม เป็นต้น
ผ้าที่มีผิวสัมผัสเรียบ รักษาความสะอาดง่ายกว่าผ้าที่มีเนื้อขระขระ
ผ้า cotton, gabardine, poplin, pique, denim และผ้าอื่นๆ ที่คล้ายกันนี้ ที่มีน้ำหนักค่อนข้างเบา
เหมาะกับเด็กวัยเรียนทั้งหญิงและชาย
เด็กวัยก่อนเรียนอาจใช้ผ้าพวกนี้ได้
ลวดลาย
เกิดได้ทั้งจากการทอ และ การพิมพ์
ผ้าลายทาง และ ผ้าตา (stripe, check, plaid) เกิดจากการทอโดยใช้ด้ายต่างสีกัน ขนาดของลายทางหรือตา
จะต้องมีสัดส่วนพอเหมาะกับรูปร่าง
ผ้าทาง
ที่มีความกว้างของทางต่างกัน
ดูสะดุดตาและสวยกว่าทางที่มีขนาดเท่ากัน
(ผ้าทางที่กว้างจะดูขยายขนาด
ในขณะที่ผ้าลายทางถี่ๆ จะดูขนาดเล็กลง)
ผ้าตาหมากรุก คือ ผ้าตาสี่เหลี่ยมจัตุรัส เกิดจากทอผ้าลายทางขัดกันในแนวฉากให้ได้สี่เหลี่ยมจัตุรัส
ผ้าตาสก๊อต
(plaid)
เกิดจากการทอผ้าลายทางขัดกันในแนวฉาก ด้วยขนาดของทางต่างๆ กัน และ สีต่างๆ
กัน ผ้าตาสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าดูกว่า ผ้าตาสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ได้ดีทั้งชายและหญิง
เลือกขนาดให้เหมาะสมกับรูปร่างและขนาดของผู้สวมใส่ หากผ้ามีลายขนาดที่ใหญ่เกินไป
สามารถออกแบบและดัดแปลงให้เหมาะสมได้
ผ้าพิมพ์ลวดลาย สามารถเลือกลวดลายให้เหมาะสมกับวัย บุคลิก
และกิจกรรมได้ง่าย เพราะไม่เก่าเร็ว
และพรางรอยเปื้อนที่ซักไม่ออกได้ดีกว่าผ้าสีพื้น
การเลือกผ้าพิมพ์ลวดลาย พิจารณาดังนี้
1. ลวดลายที่พิมพ์ วางได้จังหวะกัน และให้มองดูสมดุลตลอดทั้งผืน
2. ถ้าใช้ลวดลายหลายอย่าง ควรให้กลมกลืน (harmonious) กัน ทั้งในแง่ของรูปร่างและขนาด
3. เว้นช่องว่างพอเหมาะ
4. ลวดลายที่เหมือนธรรมชาติอย่างแท้จริง
ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นเสื้อผ้าเด็ก อาจออกแบบให้เลียนแบบธรรมชาติ
โดยเพิ่มความคิดเฉพาะตัวลงไปบ้าง ลวดลายนั้นจะดูเป็นเฉพาะตัว
5. เมื่อดูรวมกันในระยะไกล
โดยหลับตาลงข้างหนึ่ง
จะเห็นว่าลวดลายต่างๆ กลมกลืนกัน
ไม่มีส่วนใดลอยเด่นออกมากมาก ต้องมองรวมๆ
ถ้าต้องการใช้สีตัดกัน ให้ใช้ผ้าลายที่มีสีเด่นที่สุดดึงออกมาใช้ ไม่ใช้สีที่ดูเพียงจุดเล็กๆ หรือ
จุดที่มีสีมากที่สุด
Subscribe to:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น