11 มีนาคม 2557
การที่จะทำให้เสื้อผ้าคงสภาพดีใช้ได้นาน
ต้องมีการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
ซึ่งหมายถึงการดูแลให้เสื้อผ้าอยู่ในสภาพดี การซักรีด
การขจัดรอยเปรอะเปื้อนต่างๆ การเก็บรักษาทั้งที่ทำเป็นประจำวันและฤดูกาล
การซักรีด เพื่อให้การซักผ้าง่ายและได้ผล มีข้อแนะนำดังนี้
1. แน่ใจว่าไม่มีสิ่งตกค้างอยู่ในกระเป๋า
เช่น กระดาษห่อขนม ลูกกวาด ฯลฯ
2. ปิดซิป ติดกระดุม
เครื่องเกาะเกี่ยวต่างๆ ก่อนซัก
3. ควรซ่อมรอยฉีกขาดต่างๆ ตะเข็บที่รุ่ย
ก่อนที่จะซัก บางส่วนของเสื้อผ้า เช่น
หัวเข่า ข้อศอก ส่วนผ้าที่บางลงเนื่องจากการถูไถ มีการปะตกแต่งเสียก่อนที่จะขาด
ทำให้ใช้ได้ต่อไปอีก
4. รอยเปรอะเปื้อนต่างๆ เช่น
น้ำผลไม้ ไขมัน ฯลฯ ควรซักออกโดยเร็วที่สุด
ถ้าทิ้งไว้นานจะเอาออกยาก
ควรศึกษาว่ารอยเปื้อนอะไรควรซักด้วยสารตัวใด รอยเปื้อนบางอย่างซักออกได้ด้วยน้ำร้อนและสบู่ แต่รอยเปื้อนบางอย่าง เช่น รอยเลือด
เมื่อต้มในน้ำร้อนจะติดทนซักไม่ออก
5. ไม่ควรทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไว้หลายวันค่อยซัก เพราะเหงื่อไคลและความชื้น
จะทำลายคุณภาพของเส้นใย
และสิ่งสกปรกก็จะแทรกซึมเข้าไปในเส้นใย ทำให้ซักยากขึ้น
ถ้าไม่สามารถซักได้ทุกวัน ควรผึ่งให้แห้งหลังถอดออก
6. ซักเสื้อผ้าที่เปื้อนมากๆ ด้วยน้ำสบู่
(หรือผงซักฟอก) หลายๆ ครั้ง
ดีกว่าแช่ผ้าไว้นานๆ
7. ศึกษาคุณสมบัติของเส้นใยต่างๆ
เพื่อดูแลรักษาเสื้อผ้าได้ถูกต้อง
8. รีดผ้าตามแนวเส้นด้าย (grain) ไม่ควรรีดไถไปมาจนทำให้ยืดเสียรูปทรง
9. การตากเสื้อผ้าโดยแขวนกับราว
หรือใส่ไม้แขวนตากกับราว จะช่วยให้เสื้อผ้าทรงรูปร่าง ไม่ยับมาก ไม่เสียเวลารีด
โดยเฉพาะผ้าย่น ซึ่งไม่ต้องการการรีดเลย นอกจากบางตำแหน่งที่เป็นส่วนตกแต่ง
สาบเสื้อ หรือกระเป๋าบ้างเล็กน้อย
10. ถ้าทำได้ ควรรีดเสื้อผ้าเมื่อยังหมาดๆ
(ชื้นเกือบแห้ง) ดีกว่าตากให้แห้ง แล้วใช้น้ำพรมเมื่อจะรีดอีกที
11. การชุบน้ำยากันเปียก (water-repellent finish) กับเสื้อผ้าเด็กจะช่วยป้องกันสิ่งสกปรกได้ ในเมืองไทยมีชนิดเป็นกระป๋องสเปรย์
แต่ราคาค่อนข้างสูงอาจใช้กับเสื้อกันหนาวหรือเสื้อผ้าที่ไม่ต้องซักบ่อยๆ เมื่อใช้น้ำยานี้ต้องอ่านวิธีการใช้ให้เข้าใจ
และทำตามคำแนะนำ โดยปกติเมื่อใช้น้ำยากันเปียกและนำไปซัก
น้ำยาที่เคลือบบนผ้าจะหลุดออกไป ทำให้คุณสมบัติการกันเปียกหายไป
การกำจัดรอยเปื้อน ควรทำทันทีที่เกิดรอยเปื้อนหรือมีโอกาส ก่อนใช้น้ำยากำจัดรอยเปื้อน ควรทดสอบกับผ้าที่อยู่ภายในตะเข็บ
หรือรอยพับเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยด่าง
เพราะผ้าแต่ละชนิดจะมีปฏิกริยาต่อน้ำยาแต่ละชนิดต่างๆ กัน
หมากฝรั่ง ถ้าเปรอะเป็นก้อน
ใช้น้ำแข็งวางให้แข็งตัว ใช้สันมีดบางๆ ขูดส่วนที่ติดกับผ้าออก ใช้ไข่ขาวทาให้หมากฝรั่งอ่อนตัว หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์
หรือ carbon tetrachloride ขยี้ช่วยบ้าง
เมื่อหมากฝรั่งละลายหมดแล้ว ซักด้วยน้ำสบู่ธรรมดา
โกโก้
ชอคโกแลต ล้างด้วยสารละลายไขมัน ได้แก่
แอลกอฮอล์ เสียก่อน แล้วจึงซักด้วยน้ำสบู่ธรรมดา ถ้ายังมีรอยอยู่บ้างซักด้วยน้ำยาซักที่มีคลอรีน
เช่น Chlorox หรือ อาจใช้น้ำส้มสายชูก็ได้
น้ำผลไม้ ควรล้างทันที ซักในน้ำร้อนแล้วขยี้ในน้ำสบู่
อาจเช็ดด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู
สีจากพืช เช่น หญ้า ใบไม้
ซักด้วยน้ำร้อนและสบู่ ถ้ายังไม่ออกให้เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ก่อน ถ้าเป็นผ้าอะซิเตด ผสมแอลกอฮอล์ให้เจือจาง อัตราส่วน
แอลกอฮอล์:น้ำ =
1:2
น้ำมัน/ไขมัน ถ้าเปื้อนบนผ้าที่ซักไม่ได้ ใช้ผงชอล์ค
หรือแป้งทำอาหาร หรือแป้งเค้ก โรยลงบนรอยเปื้อน
ทิ้งไว้ให้ผงนั้นซับน้ำมันออกแล้วแปรงออก
ถ้าน้ำมันหยดบนผ้าที่ซักได้ ซักด้วยน้ำร้อนและสบู่
ถ้าออกยากชะล้างด้วยแอลกอฮอล์ก่อน
แล้วจึงซัก
รา
และรอยไหม้เกรียม ถ้าเป็นมาก เราไม่สามารถซักออกได้ และผ้าก็จะเปื่อยขาด ถ้าส่วนอื่นๆ ยังใหม่อยู่
ควรปะตกแต่งเป็นรูปร่างปิดรอยนั้นเสีย
ถ้าเปื้อนเล็กน้อย
ผ้าฝ้ายหรือลินิน ชะล้างด้วยน้ำยาซักที่มีคลอรีน ผ้าไหมหรือขนสัตว์ ใช้ Hydrogen Peroxide กับ Ammonia เจือจาง หากผ้าฝ้ายหรือ CVC หรือ
TC ขึ้นรานิดหน่อย
แช่ผ้าผสมน้ำส้มสายชูสักพักแล้วขยี้ออกจะช่วยได้
นม
ไข่ เลือด แช่ในน้ำเย็นจัดก่อน
แล้วจึงซักด้วยน้ำธรรมดากับสบู่
ถ้ายังมีรอยเหลืออยู่ ใช้แอมโมเนียมไฮดรอกไซด์
หรือไฮโดรเจนเพอรอกไซด์ชะล้าง
สนิม ใช้มะนาว เกลือ และแสงแดด ในการซักล้าง ทำซ้ำๆ
จนรอยสนิมเจือจาง
หมึก
ใช้มะนาวและเกลือซักออก
ถ้าเป็นหมึกแห้งใช้แอลกอฮอล์ล้างก่อน แล้วจึงใช้น้ำยาคลอรีนเช็ด
แล้วจึงซักด้วยน้ำสบู่
ยางไม้ เช่น ยางกล้วย ยางมะม่วง
ยางมะละกอ ฯลฯ ควรซักทันทีโดยใช้แอลกอฮอล์แตะไว้ให้ชุ่ม
ขยี้ออก ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูล้างออก แล้วจึงซักปกติ
สีทาบ้าน มีหลายชนิด ใช้ตัวทำลายสีแต่ละชนิด
แตะไว้ให้ชุ่ม ขยี้ออก
สีน้ำมันใช้น้ำมันก๊าด (kerosene) น้ำมันสน น้ำมันลินสีด
อย่างใดอย่างหนึ่งล้างออก
สีพลาสติกหรือแลคเกอร์ ใช้ทินเนอร์เป็นตัวชำระ
การดูแลและเก็บรักษา เสื้อผ้าทั้งหลายทำจากผ้าชนิดต่างๆ เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างกัน การดูแลเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพดี ซึ่งได้แก่ การซักรีด การแก็บรักษาย่อมแตกต่างกันไปตามลักษณะของผ้าแต่ละชนิด
คือ
ผ้าฝ้าย เหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นเสื้อผ้าเด็ก
เพราะดูแลรักษาง่าย ฝ้ายมีคุณสมบัติทนทานต่อความเป็นกรด ด่างและความร้อน
ฝ้ายจะเหนียวขึ้นเมื่อเปียก เราสามารถขยี้หรือแปรงให้สิ่งสกปรกหลุดออกได้โดยผ้าไม่ขาดง่าย เราต้มผ้าฝ้ายโดยใช้น้ำยาฟอก (bleach) ได้
อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้น้ำยาฟอกที่แรงเกินไป เพราะจะทำให้เส้นใยเสื่อมคุณภาพ
การซักผ้าฝ้ายย้อมสี
ควรซักในน้ำเย็น ไม่ซักรวมกับผ้าสีอื่น หรือ ผ้าขาว ไม่ควรต้ม ควรตากในร่ม
เพื่อรักษาสีไม่ให้ซีดเร็ว
ผ้าลูกฟูก (Corduroy)
ควรซักด้วยมือ ไม่ควรบิด แต่ใช้วิธีม้วนบีบน้ำออก ทั้งนี้เพื่อรักษาแนวของขนให้ฟู
ไม่ยับย่น เมื่อเอาน้ำออกแล้ว สะบัดให้ขนฟู ตากตามรูปร่าง
ใช้แปรงปัดขนบ้างระหว่างตาก ถ้าจะรีดควรใช้ผ้าขนหนูปูทับก่อนรีด
เสื้อชั้นนอกที่ต้องการให้มีลักษณะเงางาม
อาจลงแป้ง หรือใช้น้ำยากันเปียก (water repellent) ในปัจจุบันมีแป้งลงผ้า
และน้ำยากันเปียก กระป๋องสเปรย์ขายอยู่ทั่วไปตามร้านสรรพสินค้าใหญ่ๆ
ในกรุงเทพ
แป้งและน้ำยากันเปียกจะช่วยให้สิ่งสกปรกติดเสื้อได้ยาก
ผ้าฝ้ายขึ้นราได้ง่ายเมื่อชื้น ฉะนั้นก่อนเก็บควรให้แน่ใจว่าแห้งจริงๆ
และเก็บในที่แห้ง
ผ้าลินิน คุณสมบัติคล้ายคลึงกับผ้าฝ้าย
แต่ไม่นิยมใช้เพราะราคาแพง และรีดให้เรียบยาก
ผ้าขนสัตว์ ควรซักแห้ง
ผ้าขนสัตว์หดตัวและเกาะกันแน่นเป็นแผ่น (felt) เมื่อเปียก และเมื่อแห้ง, เส้นใยเหนียวกว่าเมื่อเปียก ไม่ทนต่อสบู่และน้ำยาฟอก ฉะนั้นถ้าจะซักเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์ (wool) ต้องใช้ความระวังให้มาก ไม่ใช้น้ำที่ร้อนเกินไป
และไม่ใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาซักฟอกที่แรงเกินไป
มีข้อควรระวังในการซักรีดผ้าขนสัตว์ไม่ว่าจะเป็นผ้าถักหรือผ้าทอ ดังนี้
1. ไม่แช่ผ้าขนสัตว์นานๆ
2. ซักผ้าขนสัตว์ด้วยมือ
ไม่ซักด้วยเครื่องซักผ้า
3. ใช้น้ำอุณหภูมิธรรมดา ไม่ใช้น้ำร้อน
4. ละลายสบู่หรือน้ำยาซักฟอกในน้ำ
ตีให้เป็นฟองก่อนจุ่มผ้าลงซัก ไม่ใช้สบู่ถูลงบนผ้าโดยตรง
5. ไม่ขยี้หรือขัดถูผ้าขนสัตว์ ถ้ามีรอยเปื้อนใช้วิธีจุ่มในน้ำสบู่หลายๆ
ครั้ง ขยำเบาๆ ให้สิ่งสกปรกหลุดออก การแช่นานๆ ไม่ทำให้สิ่งสกปรกหลุด แต่เส้นใยจะพองตัว
สิ่งสกปรกจะซึมเข้าไปในเส้นใย ซักไม่ออก
6. เมื่อซักเสร็จ ล้างน้ำหลายๆ ครั้ง จนหมดสบู่จริงๆ
7. วางผ้าลงบนผ้าเช็ดตัวตามรูปร่างเสื้อผ้า
ม้วนพร้อมๆ กับผ้าขนหนู บีบน้ำออก
8. ไม่ตากผ้าขนสัตว์ให้ถูกแดด หรือความร้อนโดยตรง เส้นใยจะเสื่อมคุณภาพ
9. ไม่ใช้ Chloride Bleach หรือสบู่อย่างแรง ถ้าสกปรกมาก ใช้
Hydrogenperoxide เจือจาง
10. ถ้าต้องการรีดผ้าขนสัตว์ ต้องตากให้แห้งสนิทเสียก่อน
รีดทางด้านในโดยใช้ผ้าฝ้ายขาวบางชื้นๆ วางทับแล้วจึงรีด
ผ้าเรยอน (Rayon)
เส้นใยเรยอนเมื่อแห้งจะเหนียวกว่าเมื่อเปียก ดังนั้น
1. ไม่ควรแช่ผ้าเรยอนไว้นานๆ
2. ไม่ถูหรือขยี้แรงๆ
ตรงรอยเปื้อนเมื่อผ้าเปียก
ใช้วิธีบีบน้ำสบู่ชะล้างรอยเปื้อนนั้น
3. ไม่บิดผ้าเรยอน ให้ใช้วิธีบีบน้ำออก
4. ตากโดยวิธีแขวนกับไม้แขวนเสื้อ
จะช่วยให้ไม่ยับยาก
5. ใช้ไฟอ่อนรีดผ้าเรยอน เพราะไม่ทนร้อน
6. เรยอนบางชนิดต้องซักแห้ง (ควรอ่านป้ายที่ติดมากับเสื้อผ้า ถ้ามี)
ผ้าใยสังเคราะห์ต่างๆ ที่ใช้กันมากในบ้านเรา คือ Polyester (ชื่อทางการค้าว่า
Tetoron บ้าง Dacron
บ้าง) มักผสมไปกับฝ้าย เพื่อเพิ่มคุณสมบัติทนยับ สีติดทน
และไม่เปื้อนง่าย แต่ไม่ทนร้อน ซักด้วยเครื่องหรือด้วยมือก็ได้ แต่ไม่ควรใช้ความร้อนสูงในการซัก หรือ
เมื่อเมื่อตากแห้งด้วยเครื่องอบ (Dryer) การตากด้วยการแขวนให้น้ำหยด
(Drip Dry) จะช่วยให้เสื้อผ้าคงรูปไม่ยับ อาจไม่ต้องรีด หรือ
รีดนิดหน่อย
ผ้าไนลอน ไม่ค่อยใช้เป็นเสื้อผ้าเด็ก นอกจากเสื้อกันฝนหรือเสื้อหนาวอย่างบาง
หรือผ้าไนลอนเจอร์ซี่อาจใช้เป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในเด็กโต ซักในน้ำสบู่ธรรมดา ซักด้วยมือดีกว่าเครื่อง
แขวนตาก ไม่ควรทำให้แห้งด้วยเครื่องอบ
คำแนะนำพิเศษในการซักผ้าถัก (Knitted Garments)
ผ้าถักบางอย่าง เมื่อซักไม่ถูกวิธี จะยืดผิดรูปทรง
จึงมีข้อแนะนำในการดูแลดังนี้
1. ก่อนซัก วางเสื้อผ้าลงบนผ้าปูที่นอนเก่าๆ หรือ กระดาษ
วาดเส้นกรอบของเสื้อผ้านั้นด้วยดินสอเขียนผ้า (ซักออกได้เมื่อต้องการ)
เพื่อจัดตำแหน่งให้คงรูปเดิมเมื่อตาก
2. ซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ
ไม่ใช้น้ำร้อน
3. ซักน้ำเปล่าหลายๆ ครั้งจนหมดสบู่
4. วางบนผ้าขนหนู ม้วนบีบเอาน้ำออก
5. วางบนผ้าเก่าที่มีเส้นกรอบนอกของเสื้อผ้า จัดให้ได้ตามรูปร่างนั้น
6. ตากทางราบโดยมีผ้าขนหนูรองซับ
หรือตากบนตะแกรงที่ทำไว้ตาก
ข้อแนะนำในการรีดผ้า
1. รีดผ้าทางด้านใน
ควรรีดแบบใช้เตารีดกด ไม่ไถเตารีดไปมา
2. ใช้ผ้าฝ้ายบางๆ
ที่ชื้นปูทับผ้าเรยอน ผ้าขนสัตว์ ผ้าไหม ขณะรีด
3. รีดตามเส้นการทอของผ้า (grain) ไม่ดึงผ้าจนเสียรูป
4. ที่รีดแขนเสื้อ (sleeveboard) นอกจากใช้รองรีด แขนเสื้อแล้ว ใช้รองรีดเสื้อผ้าเด็กได้ดี
5. เมื่อรีดรอยจีบรูด ให้ปลายเตารีดหันเข้าหารอยจีบนั้น รีดเข้าหาจีบ
6. รีดส่วนที่เล็กๆ ของเสื้อผ้า
เช่น ปก ขอบแขน แขน ฯลฯ ก่อนรีดตัวเสื้อ
การเก็บรักษาเสื้อผ้า เสื้อผ้าจะอยู่ในสภาพดี
เมื่อเก็บรักษาโดยถูกต้อง
ประจำวัน เก็บในตู้เสื้อผ้า หยิบใช้ได้ทันที
1. เสื้อชุดติดกัน (dress) หรือ
เสื้อเดี่ยวแขวนกับไม้แขวนเสื้อ เอาด้านนอกออก
ตรงคอติดเครื่องเกาะเกี่ยว เช่น
กระดุมให้เรียบร้อย ไม่ควรแขวนให้แน่นเกินไป
เพราะเสื้อผ้าจะเบียดกันจนเกิดรอยยับ
2. กระโปรงและกางเกง หนีบขอบเอวกับที่หนีบของไม้แขวน โดยรองด้วยกระดาษนุ่มตรงที่หนีบ
หรืออาจทำห่วงด้วยไส้ไก่ หรือริบบิ้นซ่อนไว้ที่ขอบเอวด้านในเพื่อแขวนกับไม้แขวน วิธีนี้จะทำให้ขอบเอวไม่เป็นรอยหนีบ
3. เสื้อยืด (knitwear) พับเก็บในลิ้นชัก
หรือชั้นในตู้ โดยใช้กระดาษนุ่ม
วางทาบก่อนพับ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เกิดรอยพับเป็นสัน
4. เสื้อกันฝน ไม่ควรเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ควรแขวนไว้ให้น้ำหยดจนหมดเสียก่อน
จึงนำมาแขวนในห้อง นอกตู้เสื้อผ้า
ประจำฤดูกาล เสื้อผ้านอกฤดูควรเก็บให้ดีระหว่างที่ไม่ได้ใช้
เพราะอาจถูกแมลงกัด หรือเป็นรอยด่าง หรือเกิดรา
ในที่นี้จะกล่าวถึงเสื้อกันหนาว ซึ่งเราใช้น้อยมากในรอบปี ก่อนเก็บควรซักให้สะอาด ตากให้แห้งสนิท ไม่ควรลงแป้ง ควรเก็บในที่สะอาด มืด
อากาศและความชื้นเข้าได้น้อย
เพราะแสงทำลายเส้นใยขนสัตว์ ทำให้ผ้าสีซีดลง
ในขณะที่ความชื้นทำให้ผ้าฝ้ายและผ้าลินินเกิดรา ถุงพลาสติกช่วยกันความชื้นและแมลงได้ดีพอควร ถ้าทำได้ควรเก็บเสื้อผ้าแต่ละชิ้นในถุงแต่ละใบ เมื่อใช้ลูกเหม็น
ระวังอย่าให้สัมผัสกับเสื้อผ้าโดยตรง
ควรใช้กระดาษห่อเสียก่อนจึงใส่ในถุงที่ใส่เสื้อผ้า เก็บเสื้อผ้าเหล่านี้รวมกันในตู้หรือกล่องที่ปิดสนิทระหว่างที่ไม่ใช้เสื้อผ้านั้น เปิดดูเป็นครั้งคราวเพื่อตรวจแมลงและความชื้น
ที่เก็บเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย
ให้เด็กดูแลรักษาเสื้อผ้าให้อยู่ในสภาพที่ดี
เป็นการฝึกหัดนิสัยที่ดีให้เด็กมีระเบียบ
ควรจัดเก็บเสื้อผ้าและของทุกสิ่งไว้ในที่เดียวกัน หรืออย่างน้อยควรมีที่เก็บเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายอยู่ที่หนึ่ง ของเล่นต่างๆ อีกที่หนึ่ง
ควรเป็นที่ซึ่งเด็กจัดเก็บของใช้ได้เอง
การให้เด็กมีที่เก็บของในห้องของเขาเอง
อาจเป็นตู้เสื้อผ้าที่ซื้อมาหรือสร้างขึ้นติดผนัง
ในตู้ควรมีราวสำหรับแขวน (เมื่อแขวนเสื้อแล้วให้ชายเสื้อผ้านั้นอยู่สูงจากพื้นราว
3 นิ้ว) มีชั้นสำหรับวาง หมวก กระเป๋า เสื้อใน และ
อื่นๆ มีขอแขวนเสื้อคลุม ผ้าพันคอ ฯลฯ
ทั้งชั้นและขอเหล่านี้ควรเคลื่อนปรับได้ตามต้องการ
จัดหาไม้แขวนเสื้อขนาดเล็กจำนวนพอที่จะแขวนเสื้อผ้า
แขวนเสื้อผ้าที่ใช้บ่อยไว้ใกล้มือ
ไม่ควรแขวนแน่นเกินไป
ถ้าไม่สามารถจัดให้เด็กมีตู้เก็บเสื้อผ้าส่วนตัวของเขาเองได้
อาจใช้ร่วมกันระหว่างพี่น้อง หรือ พ่อแม่
อาจติดราวและขอแขวนที่ฝาตู้เป็นที่แขวนเสื้อผ้า ถ้าที่แคบจริงๆ
อาจติดราวหรือขอไว้ที่มุมห้องใดมุมหนึ่ง
Subscribe to:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น